Please wait...

E-catalogue
สายด่วน
0
Loading...
0
คุณไม่มีรายการสินค้าในตะกร้าของคุณ
0 สินค้าในตะกร้า
ยอดรวมรถเข็น : 0
×
Zero Accident ในโรงงานเป็นไปได้ในองค์กร ด้วยอุปกรณ์ความปลอดภัย

Zero Accident ในโรงงานเป็นไปได้ในองค์กร ด้วยอุปกรณ์ความปลอดภัย7 เคล็ด (ไม่) ลับ ลดอุบัติเหตุภายในโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นศูนย์ ด้วยการจัดเตรียมอุปกรณ์ความปลอดภัย ควบคู่ไปกับการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยผู้คน เครื่องจักรกล และวัตถุดิบต่าง ๆ ที่วางเรียงรายอยู่มากมาย ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานหลาย ๆ คนมีความเสี่ยงต่อการประสบอุบัติเหตุในระหว่างการทำงานจากความประมาทและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จนนำไปสู่การได้รับบาดเจ็บที่รุนแรงและการสูญเสียต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วเพื่อเป็นการช่วยเพิ่มความปลอดภัยในระหว่างการปฏิบัติงานให้กับพนักงานทุกคน การวางแผนการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยเพื่อการลดสถิติอุบัติเหตุภายในโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นศูนย์ (Zero Accident Campaign) ด้วยการจัดเตรียมอุปกรณ์ความปลอดภัย อย่างเช่น กรวยจราจร เสากั้นจราจร และ ถังดับเพลิง ให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ควบคู่ไปกับการกำหนดแนวทางการปฏิบัติตนเพื่อเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงในการอุบัติเหตุภายในสถานที่ปฏิบัติงาน จึงถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับทุกโรงงานอุตสาหกรรม วันนี้ JenStore by Jenbunjerd จึงได้ทำการรวบรวม 7 เคล็ด (ไม่) ลับดี ๆ ในการลดอุบัติเหตุภายในโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นศูนย์มาฝากเจ้าของธุรกิจและผู้บริหารองค์กรทุกคน ดังนี้ 7 เคล็ด (ไม่) ลับ ลดอุบัติเหตุภายในโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นศูนย์ จัดเตรียมอุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคลให้พร้อมสำหรับการใช้งานอยู่เสมอ ในการป้องกันและลดอุบัติเหตุในโรงงานไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติงานภายในโรงงานอุตสาหกรรมให้เหลือศูนย์ องค์กรจำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนและจัดเตรียมอุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคลที่มีคุณภาพให้กับพนักงานผู้ทำงานภาคปฏิบัติในโรงงานอุตสาหกรรมทุกคนอย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นชุดป้องกันหรือเสื้อนิรภัย ชุดป้องกันสารเคมี ชุด PPE หมวกเซฟตี้ แว่นตานิรภัย ที่ครอบหู หน้ากากกันฝุ่น ถุงมือนิรภัย หรือ รองเท้าเซฟตี้ พร้อมกันนี้ยังควรทำการตรวจสอบและดูแลให้อุปกรณ์ความปลอดภัยต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการใช้งานอยู่เสมอ เพื่อเป็นการช่วยให้พนักงานทุกคนได้รับการปกป้องอย่างปลอดภัยในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในขณะที่กำลังปฏิบัติงาน ยกตัวอย่างเช่น การชนเข้ากับสิ่งของ การถูก รถยกไฟฟ้า หรือ รถลากพาเลท เฉี่ยวชน ตลอดจนการถูกวัสดุตกลงมากระทบ เป็นต้นแบ่งพื้นที่ในการทำงานออกจากกันอย่างชัดเจน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบ่อยครั้งที่การเกิดอุบัติเหตุภายในโรงงานอุตสาหกรรมหรือคลังจัดเก็บสินค้าขนาดใหญ่ มักมีสาเหตุมาจากการที่ผู้บริหารองค์กรและหัวหน้างานไม่ได้ทำการวางแผนและนำเอาอุปกรณ์ความปลอดภัย อย่างเช่น กรวยจราจร และเสากั้นจราจร มาใช้งานเพื่อการช่วยจัดแบ่งพื้นที่สำหรับการปฏิบัติงาน พื้นที่สำหรับจัดวางเครื่องจักร อุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบต่าง ๆ ตลอดจนเส้นทางสำหรับการเดิน รถยกไฟฟ้า หรือรถบรรทุกสินค้า ออกจากกันอย่างชัดเจนจนทำให้ผู้ปฏิบัติงานภายในพื้นที่ทุกคนมีความเสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บจากการชนเข้ากับสิ่งของหรือเครื่องจักรที่ถูกวางเอาไว้อย่างระเกะระกะ หรือการถูกเฉี่ยวชนโดยรถบรรทุกและขนย้ายสินค้าที่สัญจรไปมาอย่างไม่รู้ทิศทางได้มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วจึงเป็นหน้าที่สำคัญของผู้บริหารองค์กรทุกคนที่จำเป็นจะต้องคอยตรวจสอบดูแลความเรียบร้อยภายในโรงงานอุตสาหกรรม พร้อมวางแผนการนำเอา กรวยจราจร และเสากั้นจราจรมาใช้ในการแบ่งพื้นที่ในการทำงานออกจากกันอย่างชัดเจน เพื่อเป็นการช่วยป้องกันและลดอุบัติเหตุภายในโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นศูนย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นจัดอบรมชี้แจงเกี่ยวกับกฎระเบียบและมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในโรงงานอุตสาหกรรม การจัดอบรมเพื่อทำการชี้แจงกฎระเบียบ และมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อการบังคับใช้งานภายในโรงงานอุตสาหกรรม ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเปิดโอกาสให้พนักงานที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎระเบียบและมาตรการรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ภายในโรงงานอุตสาหกรรมได้มีโอกาสซักถามข้อสงสัยเพื่อการสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน พร้อมกันนี้ยังเป็นการช่วยส่งเสริมให้พนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ภายในโรงงานอุตสาหกรรมทุกคนมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตน และการใช้งานอุปกรณ์ความปลอดภัยในขณะที่กำลังปฏิบัติงานภายในโรงงานอุตสาหกรรมได้ดีมากยิ่งขึ้น เพื่อการมุ่งไปสู่เป้าหมายในการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากความประมาทและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในระหว่างการปฏิบัติงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเตรียมบทลงโทษทางวินัยสำหรับพนักงานที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในโรงงานอุตสาหกรรม การมอบบทลงโทษทางวินัยไม่ว่าจะเป็นการว่ากล่าวตักเตือนด้วยวาจา การออกใบเตือนหรือหนังสือเตือน ตลอดจนการให้พักงานและการเลิกจ้าง ให้กับพนักงานที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรการรักษาความปลอดภัย และไม่ได้มีการใช้งานอุปกรณ์ความปลอดภัยภายในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างถูกต้องไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในข้อปฏิบัติสำคัญที่จะช่วยทำให้พนักงานทุกคนได้รับรู้ถึงข้อผิดพลาดที่ตนเองได้ลงมือทำและนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเหล่านั้น พร้อมกันนี้การมอบบทลงโทษทางวินัยยังเป็นการช่วยส่งเสริมให้พนักงานที่เคยทำพลาดเกิดความระมัดระวังในการปฏิบัติตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันการทำผิดพลาดซ้ำเดิมที่อาจนำไปสู่การได้รับบทลงโทษทางวินัยที่รุนแรงมากขึ้นจนถึงขั้นถูกไล่ออกได้ให้ความสำคัญกับการติดตั้งป้ายแจ้งเตือนภายในโรงงานอุตสาหกรรม ในการสร้างพื้นที่การทำงานภายในโรงงานอุตสาหกรรมให้มีความปลอดภัยจากการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด อีกหนึ่งอุปกรณ์ความปลอดภัยที่สำคัญ จะขาดไปไม่ได้เลยในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมนั้น คือ ป้ายแจ้งเตือน หรือป้ายสะท้อนแสงประเภทต่าง ๆ เนื่องจากรูปลักษณ์และสีสันของป้ายแจ้งเตือนและป้ายสะท้อนแสงเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้ผู้ปฏิบัติงานภายในโรงงานอุตสาหกรรมทุกคนสามารถสังเกตเห็นถึงการแจ้งเตือนให้หลีกเลี่ยง และเพิ่มความระมัดระวังเมื่อต้องทำการสัญจรผ่านพื้นที่มีการซ่อมแซมบำรุงรักษาเครื่องจักร หรือพื้นที่ที่มีการชำรุดทรุดโทรมที่กำลังรอการปรับปรุงแก้ไข ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าการติดตั้งและใช้งานอุปกรณ์ความปลอดภัยอย่าง กรวยจราจร และ เสากั้นจราจร ในการกั้นเขตพื้นที่ดังกล่าวเพียงอย่างเดียวเท่านั้นหมั่นดูแลและเอาใจใส่สุขภาพของพนักงาน ในการลดการเกิดอุบัติเหตุภายในโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นศูนย์ แม้ว่าเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารองค์กรจะมีการเตรียมความพร้อมในด้านของการจัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในโรงงานอย่างเป็นระบบระเบียบด้วยการใช้กรวยจราจร และเสากั้นจราจร ตลอดจนมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ความปลอดภัยทั้งแบบส่วนบุคคลและแบบส่วนรวมมาอย่างเพียบพร้อมมากสักแค่ไหน แต่ถ้าหากเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารองค์กรไม่ได้มีความให้ความใส่ใจกับสุขภาพของพนักงานอย่างสม่ำเสมอ ก็อาจทำให้ปัญหาด้านสุขภาพที่พนักงานหลาย ๆ คนกำลังเผชิญอยู่กลายมาเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้พนักงานเหล่านี้เสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บในระหว่างการทำงานจากความไม่พร้อมของร่างกายตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น การหน้ามืดและเป็นลมในระหว่างการปฏิบัติงานจนนำไปสู่การพลัดตกหรือลื่นหกล้ม หรือการโดนเครื่องจักรและอุปกรณ์บาด เกี่ยว หรือหนีบจนเกิดการบาดเจ็บที่อาจรุนแรงไปจนถึงขั้นเสียชีวิตได้สอดส่องดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของพื้นที่ปฏิบัติงานภายในโรงงานอุตสาหกรรมอยู่เสมอ การสอดส่องดูแลพื้นที่ปฏิบัติงานภายในโรงงานอุตสาหกรรมให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยตามแบบแผน และมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้มีการวางแผนเอาไว้อยู่เสมอ เป็นหนึ่งในหน้าที่ปฏิบัติที่สำคัญของผู้บริหารองค์กรและหัวหน้างานทุกคน เพราะการมีสถานที่และสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดตาจะช่วยทำให้พนักงานทุกคนสามารถทำการหยิบจับสิ่งของหรืออุปกรณ์ความปลอดภัยมาใช้งานได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังเป็นการช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุภายในโรงงานอุตสาหกรรมจากการโดนข้าวของที่ถูกจัดวางเอาไว้อย่างไม่เป็นระเบียบหล่นใส่ หรือการเดินชนเข้ากับสิ่งของที่วางกองทิ้งเอาไว้โดยไม่ตั้งใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายสำคัญของการรณรงค์ช่วยลดสถิติอุบัติเหตุภายในโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นศูนย์ (Zero Accident Campaign) JenStore by Jenbunjerd เราคือผู้ช่วยคู่คิด ที่พร้อมช่วยให้เจ้าของธุรกิจทุกคนสามารถเลือกสรรอุปกรณ์ความปลอดภัย และอุปกรณ์ใช้สำหรับอาคารสถานที่จากหลากหลายแบรนด์สินค้าชั้นนำ คุณภาพและความทนทานสูง ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก อาทิ อุปกรณ์จราจร กรวยจราจร เสากั้นจราจร ไม้กั้นเขตยืดได้ อุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัยและอุบัติเหตุ ถังดับเพลิง เครื่องส่งสัญญาณ อุปกรณ์กั้นเขต แผงกั้น เสากั้นทางเดินสเตนเลส และสายคล้องเสากั้นทางเดิน อุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ ชุดป้องกันสารเคมี หรือชุด PPE หน้ากากกันสารเคมี เข็มขัดกันตก หมวกนิรภัย ที่ครอบหูกันเสียง แว่นตานิรภัย แผ่นยางกันลื่น รองเท้าเซฟตี้ ถุงมือกันไฟฟ้า ถุงมือกันความร้อน เป็นต้น มาใช้งานภายในองค์กรและโรงงานอุตสาหกรรมของคุณได้อย่างตรงตามความต้องการมากที่สุด เจนสโตร์ บริการให้คำปรึกษาในการเลือกใช้งานอุปกรณ์ความปลอดภัย และอุปกรณ์ใช้สำหรับอาคารสถานที่ พร้อมบริการจัดหาสินค้าให้ตรงตามรูปแบบการใช้งานที่ต้องการ และบริการติดตั้งและการดูแลหลังการขายแบบครบวงจร ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ :Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
รถยกไฟฟ้า และอุปกรณ์ยกสินค้าขึ้นที่สูง เลือกใช้งานอย่างไรให้ตอบโจทย์

รถยกไฟฟ้า และอุปกรณ์ยกสินค้าขึ้นที่สูง เลือกใช้งานอย่างไรให้ตอบโจทย์แนะนำ 5 อุปกรณ์ยกสินค้าและรถยกไฟฟ้าสำหรับการช่วยจัดเก็บ ยก ย้าย สินค้าขึ้นที่สูง ในการบริหารจัดการคลังจัดเก็บสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าทั้งศูนย์กระจายสินค้าที่มีขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ที่มีสินค้า วัตถุดิบ รวมถึงอุปกรณ์และเครื่องจักรอุตสาหกรรมจำนวนมากถูกเคลื่อนย้ายเพื่อการนำเข้าและส่งออกอยู่ตลอดเวลา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมีอุปกรณ์และเครื่องมือที่สามารถช่วยในการทุ่นแรงให้กับผู้ปฏิบัติงานไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ยกและเคลื่อนย้ายสินค้า หรืออุปกรณ์สำหรับยกสินค้าในคลังสินค้าขึ้นที่สูง อย่างเช่น รถยกไฟฟ้า รถยกลาก รถแฮนด์ลิฟท์ และรถยกสูง คือหนึ่งในตัวช่วยสำคัญที่สามารถช่วยให้การปฏิบัติงานภายในคลังจัดเก็บสินค้าเป็นไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงานภายในคลังจัดเก็บสินค้าทุกคนได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะฉะนั้นแล้วในวันนี้ JenStore by Jenbunjerd จึงอยากจะขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ 5 อุปกรณ์ช่วยยกของหนักสำหรับการช่วยจัดเก็บ ยก ย้าย สินค้าในคลังสินค้าขึ้นที่สูง ซึ่งเปรียบได้กับผู้ช่วยคนสำคัญที่จะมาช่วยลดภาระในการทำงาน และช่วยอำนวยความสะดวกเพื่อให้การบริหารจัดการภายในคลังจัดเก็บสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าเป็นไปได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แนะนำ 5 อุปกรณ์ยกสินค้าและรถยกไฟฟ้าสำหรับการช่วยจัดเก็บ ยก ย้าย สินค้าในคลังสินค้าขึ้นที่สูง 1. รถฟอร์คลิฟท์ (Forklift) หรือรถยกไฟฟ้ารถยกไฟฟ้า หรือที่หลาย ๆ คนรู้จักกันในชื่อของรถฟอร์คลิฟท์ (Forklift) เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ช่วยทุ่นแรงยกของหนักในการจัดเก็บ ยก ย้าย สินค้าแบบอเนกประสงค์ ที่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานภายในคลังจัดเก็บสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลาย เนื่องด้วยจุดเด่นในด้านของลักษณะของตัว รถยกไฟฟ้า หรือรถฟอร์คลิฟท์ ที่ถูกออกแบบมาให้มีขนาดเล็กกะทัดรัดเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในการนำมาใช้งานในพื้นที่คลังจัดเก็บสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าทั้งที่มีขนาดใหญ่และขนาดเล็กได้อย่างเหมาะสม แต่ทว่าในส่วนของตัวโครงสร้างหลักของตัวรถยกไฟฟ้า หรือที่เรานิยมเรียกกันว่า “งา” ของรถยกไฟฟ้านั้นกลับถูกออกแบบมาให้มีสมรรถนะในการใช้งานที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้โดยทั่วไปแล้วรถยกไฟฟ้าส่วนใหญ่จึงสามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกของสินค้าได้มากถึง 1 ตันเลยทีเดียวเพราะฉะนั้นแล้วการเลือกใช้งาน รถยกไฟฟ้า หรือรถฟอร์คลิฟท์ เป็นอุปกรณ์ยกของหนักภายในคลังจัดเก็บสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะสามารถช่วยทุ่นแรงและช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนสามารถทำการขนย้ายสินค้า วัตถุดิบ หรืออุปกรณ์ที่มีน้ำหนักมากขึ้นไปจัดเก็บยังที่สูงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และนอกจากนี้ ในปัจจุบันนี้รถยกไฟฟ้ายังได้ถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง จึงทำให้สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเสียงรบกวน รวมถึงเขม่าควันและมลพิษที่เกิดขึ้นจากการใช้งานรถยกไฟฟ้าแบบใช้น้ำมัน พร้อมทั้งยังสามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถยกไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย 2. โต๊ะยกปรับระดับ (Mobile Lift Table)ในการขนย้ายสินค้าและวัตถุดิบต่าง ๆ ในคลังสินค้าขึ้นไปจัดเก็บยังชั้นวางของที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง โต๊ะยกปรับระดับ (Mobile Lift Table) ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ยกของหนักขึ้นที่สูง ที่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานเพื่อเป็นการช่วยสนับสนุนให้การยก ย้าย และจัดเก็บสินค้าภายในคลังจัดเก็บสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าเป็นไปได้อย่างสะดวก ราบรื่น และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว โต๊ะยกปรับระดับ ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ช่วยทุ่นแรงแบบอเนกประสงค์ที่สามารถนำมาใช้งานได้ในหลากหลายอุตสาหกรรมเช่นเดียวกันกับ รถยกไฟฟ้า เนื่องด้วยจุดเด่นของหน้าโต๊ะที่มีลักษณะเป็นพื้นเรียบ จึงทำให้สามารถช่วยกระจายน้ำหนักเพื่อการรองรับการจัดวางสินค้าและวัตถุดิบต่าง ๆ ในทุกรูปแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกทั้ง โต๊ะยกปรับระดับ ยังมีจุดเด่นในด้านของระบบการทำงานแบบไฮดรอลิค ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำการยกและเคลื่อนย้ายสินค้าและวัตถุดิบต่าง ๆ ขึ้น-ลง เพื่อการนำไปจัดเก็บและใช้งานได้อย่างว่องไวและนุ่มนวล จึงเหมาะกับเป็นอุปกรณ์ยกของหนักขึ้นที่สูง รวมไปถึงระบบป้องกันการทรุดตัวของโต๊ะยกปรับระดับที่ช่วยให้ผู้ใช้งานทุกคนสามารถไว้วางใจในความปลอดภัยของการใช้งานโต๊ะยกปรับระดับได้มากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามด้วยรูปแบบและโครงสร้างของโต๊ะยกปรับระดับที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เหมาะสำหรับการเคลื่อนย้ายและการพับเก็บเมื่อไม่ได้มีการใช้งานนั้น ส่งผลให้โต๊ะยกปรับระดับจึงเป็นอุปกรณ์ช่วยทุ่นแรงที่มีข้อจำกัดในด้านของการรองรับน้ำหนักบรรทุกที่ค่อนข้างน้อย จึงทำให้โต๊ะยกปรับระดับเป็นอุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสำหรับการนำมาใช้ในการยกหรือเคลื่อนย้ายสินค้าในอุตสาหกรรมหนักเหมือนอย่างเช่นรถยกไฟฟ้าหรือรถยกสูงคลังสินค้าประเภทอื่น ๆ 3. รถสแตกเกอร์ (Stacker)รถสแตกเกอร์ (Stacker) เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของรถยกสูงคลังสินค้าที่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานภายในคลังจัดเก็บสินค้าทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่อย่างแพร่หลาย เช่นเดียวกันกับรถยกไฟฟ้า หรือรถฟอร์คลิฟท์ เพื่อประโยชน์ในการช่วยทุ่นแรงและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานทุกคนในการยกหรือย้ายสินค้าขึ้นไปจัดเก็บยังพื้นที่สูง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรถสแตกเกอร์ถือได้ว่าเป็นรถยกสูงคลังสินค้าที่ถูกออกแบบมาให้มีโครงสร้าง รูปแบบ รวมไปถึงระบบการทำงานที่ใกล้เคียงกันกับรถฟอร์คลิฟท์เป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามหนึ่งในข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างรถสแตกเกอร์และรถฟอร์คลิฟท์นั้น คือการที่รถสแตกเกอร์จะมีขนาดที่เล็กกว่ารถฟอร์คลิฟท์ค่อนข้างมากและประกอบกับความสามารถในการยกพาเลทแบบซ้อนกันได้ในแนวดิ่ง หรือที่เรียกว่าการยกแบบซ้อนสูง และการรองรับน้ำหนักในการบรรทุกสินค้าที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ารถยกไฟฟ้าอย่างรถโฟล์คลิฟท์เท่าไหร่นัก ส่งผลให้รถสแตกเกอร์จึงเป็นรถยกไฟฟ้าที่เหมาะสำหรับการนำมาใช้งานเพื่อการขนย้ายสินค้าหรือวัตถุดิบในคลังจัดเก็บสินค้าที่มีขนาดพื้นที่ค่อนข้างจำกัด หรือการขนย้ายสินค้าในพื้นที่ที่รถโฟล์คลิฟท์ไม่สามารถเข้าถึงได้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือด้วยขนาดที่เล็กกว่าของรถสแตกเกอร์นั้นยังส่งผลให้รถสแตกเกอร์เป็นรถยกสูงคลังสินค้าที่มีราคาถูกกว่ารถโฟล์คลิฟท์ 50–60% อีกทั้งยังมีค่าดูแลและบำรุงรักษาที่ต่ำกว่า จึงทำให้การใช้งานรถสแตกเกอร์สามารถช่วยให้ธุรกิจประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 4. สะพานพาด (Dock Leveler)นอกเหนือไปจากการใช้งาน รถยกไฟฟ้า และรถยกสูงคลังสินค้าเพื่อประโยชน์ในการขนย้ายสินค้าและวัตถุดิบต่าง ๆ ขึ้นไปจัดเก็บบนพื้นที่สูงแล้วนั้น อุปกรณ์ที่มีการติดตั้งเพื่อการใช้งานแบบฝังพื้นอย่างสะพานพาด (Dock Leveler) ก็ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ทุ่นแรงอีกประเภทหนึ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลยในคลังจัดเก็บสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าทั้งที่มีขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพราะสะพานพาดที่มีลักษณะเป็นพื้นหรือทางลาดต่างระดับนี้เอง คืออุปกรณ์ที่มีหน้าที่สำคัญในการช่วยยกและย้ายสินค้า รวมถึงวัตถุดิบและเครื่องมือต่าง ๆ ขึ้นไปจัดเก็บยังรถบรรทุก รถตู้คอนเทนเนอร์ และรถขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ เพื่อการทำการจัดส่งต่อในลำดับถัดไปซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว สะพานพาดนั้นถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่นิยมนำมาใช้งานร่วมกับรถยกไฟฟ้าและรถยกสูงคลังสินค้า เพื่อประโยชน์ในการช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานภายในคลังจัดเก็บสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าสามารถประหยัดแรงในการขนถ่ายหรือเคลื่อนย้ายสินค้าขึ้น-ลงจากชั้นวางสินค้าหรือรถขนส่งสินค้า และยังช่วยให้สินค้า รวมถึงวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ต้องทำการขนย้ายโดยเฉพาะสินค้าที่มีขนาดใหญ่มีความปลอดภัยจากการตกหรือกระแทกในระหว่างการขนย้ายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย 5. เครน (Crane)เครนยกสินค้า (Crane) หรือที่มีชื่อเรียกแบบไทย ๆ ว่าปั้นจั่น เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ช่วยทุ่นแรงสำหรับการจัดเก็บ ยก ย้ายสินค้าที่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานในคลังจัดเก็บสินค้าและอุตสาหกรรมหนักหลายประเภทร่วมกับการใช้งานรถยกไฟฟ้าและรถยกสูงคลังสินค้าอย่างแพร่หลาย เพื่อประโยชน์ในการช่วยขนถ่ายและเคลื่อนย้ายสินค้าและวัตถุดิบต่าง ๆ ที่มีขนาดใหญ่ อย่างเช่น เครื่องจักรอุตสาหกรรม แท่งปูน หรือเหล็กเส้น เป็นต้น ไปทำการจัดเก็บหรือนำไปใช้งานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว นิ่มนวล และมีความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงานทุกคนมากยิ่งขึ้นโดยสำหรับรูปแบบของเครนยกสินค้าที่ปรากฏการนำมาใช้งานภายในโรงงานอุตสาหกรรมร่วมกับรถยกไฟฟ้าและรถยกสูงคลังสินค้าหลากหลายประเภทมากที่สุดนั้น คือเครนในรูปแบบของเครนเหนือศีรษะและเครนขาสูง (Overhead Crane) เนื่องจากเครนประเภทดังกล่าวเป็นเครนยกสินค้าที่มีน้ำเบา และสามารถทำการติดตั้งเพื่อการใช้งานได้ง่ายโดยที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อโครงสร้างของคลังจัดเก็บสินค้าและศูนย์กระจายสินค้ามากนัก อีกทั้งยังมีความสามารถในการรองรับน้ำหนักบรรทุกที่ค่อนข้างมากกว่ารถยกไฟฟ้าและรถยกสูงคลังสินค้า จึงทำให้เครนเหนือศีรษะและเครนขาสูงเหมาะสำหรับการนำมาใช้งานเพื่อการยกย้ายสินค้าในแนวดิ่ง หรือการยกสินค้าขึ้นที่สูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่กำลังมองหาอุปกรณ์สำหรับยกสินค้าในคลังสินค้าขึ้นที่สูง อย่างเช่น รถยกไฟฟ้า และรถยกสูงคลังสินค้าประเภทต่าง ๆ มาใช้งานเพื่อการขนถ่ายหรือเคลื่อนย้ายสินค้าภายในโรงงานหรือคลังสินค้าของคุณ JenStore by Jenbunjerd เราคือผู้ช่วยคู่คิด ที่พร้อมช่วยดูแลและให้คำแนะนำในการเลือกซื้ออุปกรณ์สำหรับการจัดเก็บ ยก ย้ายสินค้า ไม่ว่าจะเป็น รถเข็นอเนกประสงค์ รถเข็นไต่บันได ดอลลี่ แฮนด์ลิฟท์ รถลากพาเลท รถยกถังน้ำมัน และ โต๊ะยกปรับระดับ เป็นต้น พร้อมด้วยบริการติดตั้ง ดูแลหลังการขาย และบริการรับ สั่งทำตู้โต๊ะสแตนเลส สั่งทำรถเข็นสแตนเลส และ รถเข็น ทุกรูปแบบตามความต้องการของลูกค้า โดย เจนบรรเจิด มีทีมผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ในวงการอุปกรณ์ “จัด เก็บ ยก ย้าย”ให้คำปรึกษาแนะนำด้านระบบคลังสินค้าที่ตอบโจทย์รูปแบบการใช้งานอย่างครบวงจร ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ : Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย)Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
ถังขยะที่เหมาะกับการใช้งานในโรงพยาบาล ถังขยะติดเชื้อจำเป็นอย่างไร

ถังขยะที่เหมาะกับการใช้งานในโรงพยาบาล ถังขยะติดเชื้อจำเป็นอย่างไรทำไมต้องให้ความสำคัญต่อการเลือกถังขยะในโรงพยาบาล ? ถังขยะ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยกักเก็บและแยกขยะประเภทต่าง ๆ ให้เป็นระเบียบ เป็นที่เป็นทาง เพื่อนำไปคัดแยก รีไซเคิล หรือทำลายในลำดับต่อไป แต่รู้หรือไม่ว่าการเลือกถังขยะให้เหมาะกับสถานที่นั้นสำคัญมาก โดยเฉพาะถังขยะสำหรับใช้งานในโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลมีขยะหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างการใช้ยิ่งถังขยะอันตรายและถังขยะติดเชื้อในโรงพยาบาล ดังนั้น การเลือกถังขยะที่เหมาะสมกับประเภทของขยะจึงมีความจำเป็น และไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง แล้วจะเป็นถังขยะแบบไหนที่เหมากับโรงพยาบาลบ้าง ลองมาดูกัน ถังขยะมีกี่ประเภทหากจะกล่าวถึงประเภทของถังขยะ ระบบการแบ่งประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือการแบ่งตามสีเพื่อให้รู้ว่าเป็นถังขยะสำหรับขยะประเภทใด สามารถแบ่งได้ดังนี้ถังขยะสีแดง ถังขยะสีแดงเป็นถังขยะอันตราย สำหรับใส่ขยะอันตราย ขยะมีพิษ สารเคมี และถังขยะสีแดงยังเป็นถังขยะติดเชื้อ สำหรับใส่ขยะติดเชื้อ รวมทั้งขยะที่อาจเกิดปฏิกิริยาอย่างเช่น วัตถุไวไฟ วัตถุประเภทออกไซด์หรือเปอร์ออกไซด์ ขยะกัมมันตภาพรังสี ไปจนถึงขยะหรือวัตถุที่อาจทำให้เกิดโรคและมีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เราจึงพบถังขยะแบบนี้ได้บ่อย ๆ ในโรงงานอุตสาหกรรมไปจนถึงถังขยะติดเชื้อในโรงพยาบาล ถังขยะติดเชื้อและถังขยะอันตรายจะต้องแยกกัน แต่จะใช้สีแดงเหมือนกันจึงควรมีการติดสัญลักษณ์ หรือ ข้อความกำกับให้ชัดเจนเพื่อให้ไม่ทิ้งผิด ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ถังขยะสีเหลือง ถังขยะสีเหลืองเป็น ถังขยะรีไซเคิล ใช้สำหรับทิ้งขยะที่สามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้ เช่น พลาสติก แก้ว เศษโลหะ อะลูมิเนียม กล่องกระดาษลูกฟูก กระป๋องต่าง ๆ เป็นต้น เป็นถังขยะที่พบได้ทั่วไปตามจุดคัดแยกขยะ โรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่สาธารณะอื่น ๆ ถังขยะสีเขียว ถังขยะสีเขียวเป็นถังขยะสำหรับใส่ขยะทั่วไปที่สามารถย่อยสลายได้ หรืออาจนำไปใส่เศษอาหารที่เน่าเสียได้ก็ได้เช่นกัน ขยะในถังสีเขียวนั้นสามารถนำไปเป็นอาหารสัตว์หรือนำไปทำปุ๋ยหมักได้ จึงเป็นถังขยะที่พบได้ทั้งรูปแบบของ ถังขยะใหญ่ ถังขยะ 120 ลิตร และพบได้ทั่วไปในทุกสถานที่ ถังขยะสีน้ำเงิน ปิดท้ายกันที่ถังขยะสีน้ำเงิน ถังขยะสีนี้ใช้ใส่ขยะประเภทที่ไม่สามารถย่อยสลายได้และไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ เช่น เปลือกลูกอม โฟม พลาสติก หรือฟอยล์ห่ออาหาร ซึ่งขยะเหล่านี้นั้นไม่คุ้มค่ากับการนำไปรีไซเคิล โรงพยาบาลมีขยะแบบใดบ้างในโรงพยาบาลนั้นมีขยะมากมายหลากหลายประเภท เพราะโรงพยาบาลเป็นทั้งศูนย์รักษา บริบาล และดูแลผู้ป่วย ขยะอันดับแรกที่พบจึงเป็นขยะติดเชื้อหรือขยะอันตรายที่สามารถปนเปื้อนไปสู่คน สัตว์ หรือสิ่งแวดล้อมได้ เนื่องจากอาจมีสารคัดหลั่งของผู้ป่วยอย่างน้ำเลือด น้ำลาย หรือน้ำมูก เป็นต้น ดังนั้นโรงพยาบาลจึงต้องเข้มงวดในเรื่องการกำจัดขยะประเภทนี้เป็นอย่างมากวิธีการกำจัดขยะติดเชื้อภายในโรงพยาบาลจึงต้องเริ่มจากการทิ้งขยะ หากจุดทิ้งขยะเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น ห้องส่วนตัวของแพทย์ พยาบาล หรือคนไข้ อาจเลือกใช้ ถังขยะแบบเหยียบ หรือ ถังขยะสแตนเลส รองรับด้วยถุงพลาสติกอีกครั้งเพื่อรองรับขยะติดเชื้อ ขณะที่ในพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น รอบ ๆ โรงพยาบาล ห้องปฏิบัติการ หรือบริเวณจุดทิ้งขยะ อาจเลือกใช้ ถังขยะ 120 ลิตร ที่มีการแยกสีชัดเจนว่าถังใดเป็นถังขยะทั่วไปและถังใดเป็น ถังขยะติดเชื้อในโรงพยาบาล ส่วนพื้นที่คัดแยกขยะก่อนมีรถขยะมาเคลื่อนย้ายนั้นควรเลือกใช้เป็นถังขยะใหญ่เพื่อให้รองรับขยะปริมาณมาก ๆ ได้อย่างเพียงพอส่วนการเคลื่อนย้ายขยะนั้นไม่ควรทำด้วยมือเปล่า แต่แม่บ้านหรือผู้ที่รับผิดชอบควรสวมถุงมือและใช้คีมคีบขยะในการเคลื่อนย้ายทุกครั้ง หากเป็นขยะติดเชื้อต้องปิดปากถุงให้สนิท ใส่ถุงสีแดงหรือถุงที่มีการระบุว่าเป็นขยะติดเชื้อ จากนั้นขณะเคลื่อนย้ายก็ต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสมเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในโรงพยาบาลด้วยนอกจากขยะมีพิษหรือขยะติดเชื้อที่ต้องการ ถังขยะอันตราย สำหรับรองรับขยะเป็นพิเศษแล้ว ในโรงพยาบาลยังมีขยะทั่วไป เช่น กล่องอาหาร กล่องโฟม กล่องนม ขวดน้ำดื่ม และอื่น ๆ ดังนั้นทางโรงพยาบาลควรจัด ถังขยะ 120 ลิตร แบบมีฝาเปิดปิดเพื่อรองรับขยะเหล่านี้ตามจุดต่าง ๆ ของโรงพยาบาลด้วย ส่วนขยะประเภทเศษกระดาษจากเอกสารต่าง ๆ หรือขยะชิ้นเล็กที่ทิ้งในห้องทำงานหรือห้องส่วนตัวของแพทย์และพยาบาล อาจเลือกใช้ถังขยะขนาดเล็กอย่างถังขยะแบบเหยียบก็ได้ ส่วนถังขยะทั่วไปภายนอกอาคารอาจใช้ถังขยะฝาแกว่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการทิ้งขยะ แถมยังมีฝาปิดช่วยเพิ่มความสะอาด ทำไมต้องให้ความสำคัญต่อการเลือกถังขยะในโรงพยาบาลสำหรับผู้ประกอบการสถานพยาบาลคงทราบกันดีว่าในโรงพยาบาลนั้นมีผู้คนหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล ผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ ไปจนถึงญาติผู้ป่วยและผู้ที่เข้ามาใช้บริการโรงพยาบาล ดังนั้นในแต่ละวันจึงมีขยะปริมาณมหาศาล และขยะเองก็มีหลายประเภท แต่ขยะที่ต้องใส่ใจมากที่สุดก็คือขยะติดเชื้อและขยะอันตรายที่อาจก่อให้เกิดการปนเปื้อน เพราะฉะนั้นหากต้องเลือกถังขยะเพื่อนำไปใช้ในโรงพยาบาลแล้วละก็ ต้องให้ความสำคัญกับวัสดุที่นำมาผลิต ตัวถังต้องมีความหนาแน่น ทนทาน สามารถรองรับขยะอันตรายได้นอกจากนี้เรื่องขนาดเองก็สำคัญ ควรเลือกขนาดของถังขยะให้เหมาะสมกับบริเวณต่าง ๆ ที่นำไปวาง เพื่อให้รองรับขยะได้อย่างเพียงพอ ลดการทิ้งขยะไม่เป็นที่ ลดการเกิดปัญหาขยะล้นจนเกิดทัศนียภาพไม่น่ามองหรือปัญหาการปนเปื้อนตามมา ถังขยะแบบใดเหมาะกับการใช้งานในโรงพยาบาลถังขยะใหญ่ ถังขยะใหญ่ คือ ถังขยะขนาดใหญ่ที่ใช้งานภายนอก มีความจุตั้งแต่ถังขยะ 120 ลิตร ไปจนถึงงขนาด 1,100 ลิตรขึ้นไป ส่วนใหญ่ถังขยะแบบนี้มักมีล้อเนื่องจากต้องรองรับน้ำหนักสูงมาก จึงควรมีล้อเพื่อให้เคลื่อนย้ายขยะไปยังจุดคัดแยกขยะได้ง่ายและสะดวก เพื่อเป็นการทุ่นแรงของผู้เก็บขยะ โดยถังขยะใหญ่ที่ขาดไม่ได้ในโรงพยาบาลเลยก็คือถังขยะอันตราย ถังขยะติดเชื้อ ถังแยกประเภทขยะ อีกหนึ่งถังขยะโรงพยาบาลที่ต้องมีคือถังแยกประเภทเป็นถังขยะที่มีสีชัดเจนเพื่อบ่งบอกว่า แต่ละถังใช้รองรับขยะประเภทไหนนั่นเอง ส่วนหลักการใช้สีเพื่อคัดแยกขยะก็ตามที่เรากล่าวไปข้างต้นคือ สีแดงสำหรับถังขยะอันตราย สีเหลืองสำหรับ ถังขยะรีไซเคิล สีเขียวสำหรับถังขยะมูลฝอยย่อยสลายได้ และสีฟ้าหรือสีน้ำเงินสำหรับถังขยะที่ไม่สามารถย่อยสลายหรือรีไซเคิลได้ ผู้ประกอบการสถานพยาบาลควรมีถังคัดแยกขยะตั้งไว้ตามจุดทิ้งขยะ เพื่อให้ผู้ทิ้งสามารถทิ้งขยะในถังรองรับได้อย่างเหมาะสม และเป็นการช่วยคัดแยกขยะอันตรายออกจากขยะทั่วไปในเบื้องต้น และถังควรเป็นถังขยะขนาด 120 ลิตรขึ้นไปที่มีฝาปิดด้วย ถังขยะ ความหนาแน่นสูง เนื่องจากถังขยะในโรงพยาบาลอาจมีขยะที่เป็นพิษ ติดเชื้อ หรือเป็นอันตราย ดังนั้นจึงต้องเลือกถังขยะที่มีความหนาแน่นสูง ผลิตจากพลาสติกพอลิเมอร์ HDPE ที่มีความหนาแน่นสูง ทนทานต่อการกัดกร่อน ความร้อน ความเย็น และยังทนต่อสารเคมีอีกหลายชนิด โดยทั่วไปถังขยะประเภทนี้มักผ่านการผลิตด้วยกระบวนการ UV-stabilization จึงทำให้ถังขยะมีความคงทนไม่เปลี่ยนรูป ถังขยะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โรงพยาบาลบางแห่งอาจเลือกใช้ถังขยะโรงพยาบาลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการรองรับขยะ โดยถังขยะประเภทนี้จะผลิตโดยไม่มีส่วนผสมของสาแคกเมียม ทำให้ทุกส่วนของ ถังขยะรีไซเคิลได้และยังไม่ต้องกังวลเรื่องสารอันตรายที่อาจปนเปื้อนไปสู่คน สัตว์ หรือสิ่งแวดล้อมภายนอกด้วย ถังขยะแบบเหยียบ นอกจากการใช้ ถังขยะอันตราย และ ถังขยะใหญ่ แล้ว ถังขยะแบบเหยียบ ที่มีขนาดเล็กก็สามารถใช้งานได้ในห้องทำงานทั่ว ๆ ไปของโรงพยาบาล ส่วนในห้องปฏิบัติการหรือห้องน้ำอาจเลือกถังขยะแบบเหยียบที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ผลิตจากพลาสติกความหนาแน่นสูงหรืออะลูมิเนียม รองรับด้วยถุงขยะอีกชั้น สามารถใช้ทิ้งขยะปนเปื้อน ขยะติดเชื้อ หรือขยะอื่น ๆ ได้ ถือเป็นถังขยะโรงพยาบาลอีกแบบที่ขาดไม่ได้ เพราะใช้เท้าเหยียบเพื่อเปิดฝาและทิ้งขยะได้เลยโดยไม่ต้องสัมผัสตัวถัง จึงช่วยลดการติดเชื้อได้ดี เลือกถังขยะสำหรับโรงพยาบาล ต้องไว้ใจเลือกถังขยะจากเจนสโตร์เจนสโตร์ คือศูนย์รวมอุปกรณ์ทำความสะอาดระดับมืออาชีพ เราคือตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ทำความสะอาดและถังขยะแบรนด์ชั้นนำหลากหลายแบรนด์พร้อมบริการแบบครบวงจร ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นคัดสรรอย่างดี คุณภาพและความทนทานสูง เรามีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยจำหน่ายครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ถังขยะ ถังขยะแยกประเภท ถังขยะรีไซเคิล ถังขยะอันตราย ถังขยะแบบเหยียบ ถังขยะสแตนเลส ถังขยะใหญ่ ถังขยะ 120 ลิตร ถังขยะเทศบาล ถังขยะ กทม. ถังขยะพลาสติก ถังขยะ 4 สี และถุงขยะ ครบทุกความต้องการเรื่องการเก็บและแยกขยะในที่เดียวนอกจากนี้ยังมีเครื่องทำความสะอาด เครื่องกวาดพื้น เครื่องขัดพื้น เครื่องดูดฝุ่นอุตสาหกรรม อุปกรณ์ทำความสะอาด รถเข็นแม่บ้าน รถเข็นทำความสะอาด ถังม็อบถูพื้น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์ล้างจาน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดรถ อุปกรณ์สุขอนามัย เครื่องจ่ายแอลกอฮอล์ เครื่องพ่นแอลกอฮอล์ สเปรย์แอลกอฮอล์ เจลแอลกอฮอล์ เพื่อให้รองรับความต้องการการใช้งานด้านผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยของเจ้าหน้าที่ พนักงาน แพทย์ พยาบาล และทุกคนที่มาใช้บริการโรงพยาบาลJenStore by Jenbunjerd มาพร้อมการบริการครบวงจร เราพร้อมให้คำปรึกษาการเลือกใช้งานสินค้าอุปกรณ์ทำความสะอาดที่เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจ และรับจัดหาสินค้าให้ตรงตามความต้องการของธุรกิจทุกประเภท พร้อมด้วยบริการดูแลหลังการขายแบบครบวงจรโดยทีมขายผู้เชี่ยวชาญจากเจนสโตร์ที่มากประสบการณ์ในวงการเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ พร้อมบริการจัดหาสินค้าและรับทำสินค้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น รถเข็นจ่ายยา ตู้เก็บยา โต๊ะแพทย์เจนสโตร์ช่วยให้ทุกการจัดซื้อของคุณเป็นเรื่องง่าย ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ :Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
ความเหมือนที่แตกต่างระหว่างเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดสำหรับการแพทย์กับโรงงานอุตสาหกรรม

หลักการทำงานของเครื่องวัดอุณภูมิอินฟาเรด และความแตกต่างระหว่างเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดสำหรับการแพทย์กับโรงงานอุตสาหกรรม ประโยชน์ของ เครื่องวัดอุณหภูมิ แต่ละชนิดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักกับโควิด-19 โรคระบาดที่มีอาการป่วยเหมือนกับการเป็นไข้หวัดธรรมดาๆ แต่โควิด-19 นั้น มีผลของโรคที่รุนแรงมากกว่า ทุกหน่วยงานจึงหาวิธีป้องกันซึ่งวิธีเบื้องต้นที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามคือการวัดอุณหภูมิของร่างกาย เมื่อเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นการคัดกรองขั้นต้นเพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ดังนั้นเครื่องวัดอุณหภูมิ จึงเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญอันดับแรกๆ ที่ขาดไม่ได้ในยุคที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 เครื่องวัดอุณหภูมิ ที่นิยมใช้ในการวัดอุณหภูมิของร่างกายคือเครื่องวัดอุณหภูมิ อินฟราเรด เนื่องจากสามารถวัดอุณหภูมิของร่างกายได้โดยไม่ต้องสัมผัส ช่วยลดความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ แต่เครื่องวัดอุณหภูอินฟราเรดไม่ได้มีใช้แค่ในทางการแพทย์เท่านั้นในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ก็มีการใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในการวัดอุณหภูมิอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องจักร ระบบแผงวงจร และอาหาร ดังนั้นการเลือกใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดให้ถูกต้องกับการใช้งานจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะในบางอุตสาหกรรมไม่สามารถใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดแทนกันได้ โดยเฉพาะในทางการแพทย์ ดังนั้นเราควรรู้เกี่ยวกับหลักการการทำงานของเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด และความแตกต่างของเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดที่ใช้ในทางการแพทย์กับโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เบื้องต้นกัน หลักการทำงานของเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดการทำงานของเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดไม่ว่าในอุตสาหกรรมไหนก็จะมีหลักการทำงานที่เหมือนกัน โดยสามารถวัดอุณหภูมิสิ่งต่างๆ โดยที่ไม่ต้องสัมผัส และยังสามารถวัดอุณหภูมิได้ในระยะไกลด้วย การออกแบบขั้นพื้นฐานของเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วย เลนส์ และ เครื่องตรวจจับพลังงาน เลนส์ ทำหน้าที่โฟกัสพลังงานอินฟราเรดที่ปล่อยออกมาจากวัตถุ และส่งพลังงานนั้นไปที่เครื่องตรวจจับพลังงานซึ่งเรียกว่า เทอร์โมไพล์ เทอร์โมไพล์จะแปลงพลังงานนั้นให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า และแปลงค่าเป็นหน่วยของอุณหภูมิหลังจากที่ได้รับการชดเชยอุณหภูมิแวดล้อมแล้ว เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในบางอุตสาหกรรมจะมีเลเซอร์เพื่อช่วยในการเล็งเป้าหมายที่จะวัดอุณหภูมิเพื่อช่วยให้การวัดอุณหภูมิมีความแม่นยำมากขึ้น ลักษณะของเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดจะมีรูปร่างคล้ายปืนและน้ำหนักเบา ประโยชน์ของเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด ไม่ต้องสัมผัส และตรวจอุณหภูมิได้ในระยะไกล ด้วยคุณสมบัติของ เครื่องวัดอุณหภูมิ อินฟราเรดที่สามารถวัดอุณหภูมิได้โดยไม่ต้องสัมผัสกับวัตถุ และยังสามารถวัดอุณหภูมิได้ในระยะไกล ทำให้สามารถป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้กับผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะทัังในด้านการแพทย์และด้านโรงงานอุตสากรรม ทางการแพทย์ช่วยลดความเสี่ยงของผู้ใช้งานที่จะได้รับเชื้อโรคเข้ามาในร่างกาย ส่วนในโรงงานอุตสาหกรรมลดความเสี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้หากวัตถุที่ต้องการวัดอุณหภูมิถูกวางไว้ในตำแหน่งหรือใช้งานในพื้นที่อันตราย รวมถึงใช้งานอยู่ในพื้นที่แคบ ซึ่งลำแสงอินฟราเรดสามารถยิงไปถึงวัตถุดังกล่าวโดยไม่ต้องเข้าใกล้ สำหรับอุตสาหกรรมอาหารก็ลดความเสี่ยงที่จะเกิดการปนเปื้อนในอาหารได้ตรวจจับอุณหภูมิจากวัตถุที่เคลื่อนไหวได้ เช่น มอเตอร์ อาหารที่อยู่บนสายพาน หรือโลหะหลอมเหลวในเตาเผา ทำให้เกิดความรวดเร็วในการทำงาน ลดความผิดพลาดของข้อมูล เครื่องวัดอุณหภูมิ อินฟราเรดในบางเครื่องจะมีฟังกชั่นสำหรับบันทึกข้อมูลเพื่อสามารถย้อนกลับมาดูได้โดยไม่ต้องกังวลกับการจดบันทึกและยังช่วยให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ สะดวกในการพกพา เนื่องจาก เครื่องวัดอุณหภูมิ มี ขนาดเล็กลักษณะคล้ายปืน และมีน้ำหนักเบาทำให้สะดวกในการพกพาและสะดวกในการใช้งานมีความแม่นยำในการวัดอุณหภูมิ ทำให้ได้ค่าอุณหภูมิที่ถูกต้องสามารถนำไปใช้งานได้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพ ข้อจำกัดของเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดสามารถวัดอุณหภูมิได้แค่พื้นผิวเท่านั้น จึงไม่สามารถรู้อุณหภูมิที่อยู่ภายในวัตถุได้ เช่น อุณหภูมิของเนื้อที่กำลังย่างจึงไม่รู้ว่าเนื้อสุกรึยัง ความแม่นยำจะลดลงเมื่อมีความชื้น ฝุ่นละออง หรือหมอกควัน เพราะว่าอนุภาคเหล่านี้อาจจะเป็นตัวกันกลางระหว่างเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด และ วัตถุที่ต้องการวัด อนุภาคดังกล่าวจะดูดพลังงานทำให้วัดอุณหภูมิได้ค่าที่ลดลงจากอุณหภูมิจริง ไม่สามารถวัดอุณหภูมิทะลุกระจก พื้นผิวโปร่งใส หรือของเหลวได้ สามารถวัดได้แค่พื้นผิวเท่านั้น เช่น รู้อุณหภูมิของน้ำได้จากพื้นผิวน้ำแต่ไม่สามารถรู้อุณหภูมิภายในน้ำได้ มารู้จักเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในทางการแพทย์ และเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในอุตสาหกรรมกันเถอะ เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในทางการแพทย์ เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในทางการแพทย์นั้นสิ่งสำคัญคือ ความแม่นยำของอุณหภูมิ และช่วงอุณหภูมิจะต้องรองรับกับอุณหภูมิร่างกายของมนุษย์ ดังนั้นส่วนใหญ่ เครื่องวัดอุณหภูมิในทางการแพทย์จะมีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 32 °C ถึง 42.5 °C และค่าความคลาดเคลื่อนอยู่ที่ ± 0.3°C โดยเมื่อใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดบนหน้าผาก เครื่องจะล็อคค่า Emissivity ซึ่งเป็นค่าที่แสดงถึงความสามารถในการแผ่รังสีความร้อนของวัตถุที่อุณหภูมิใดอุณหภูมิหนึ่ง โดยผิวหนังของมนุษย์จะมีค่า Emissivity ประมาณ 0.98 ซึ่งหากเครื่องวัดอุณหภูมิในทางการแพทย์ตรวจพบผู้ที่มีอุณหภูมิสูงกว่าที่ตั้งไว้จะมีเสียงร้องเตือน และมีแสงกระพริบที่หน้าจอแสดงผล เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในโรงงานอุตสาหกรรมเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในโรงงานอุตสาหกรรมจะออกแบบมาเพื่อใช้วัดอุณหภูมิของพื้นผิววัตถุซึ่งมีช่วงของอุณหภูมิที่กว้าง -60 ถึง 2,500° C เพื่อให้เหมาะในการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความหลากหลาย เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดจะมีค่าความคลาดเคลื่อนอยู่ที่ ± 1 ถึง 1.5°C และสามารถปรับค่า Emissivity ได้ตั้งแต่ 0-1.0 เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในโรงงานอุตสาหกรรมสามารถวัดอุณหภูมิวัตถุที่เคลื่อนที่ได้ทำให้สะดวกและรวดเร็วในการใช้งาน ความแตกต่างระหว่าง เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในทางการแพทย์ และเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในโรงงานอุตสาหกรรม ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนคือเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในทางการแพทย์จะมีช่วงวัดอุณหภูมิที่สั้นกว่าตามอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์ และมีค่าความคลาดเคลื่อนที่น้อยมากเพียง ± 0.3°C ซึ่งทั้งสองค่าเป็นค่าการวัดที่มีความสำคัญมากต่อร่างกายมนุษย์โดยเฉพาะค่าความคลาดเคลื่อน หากเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดมีความคลาดเคลื่อนมากอาจทำให้วินิจฉัยโรคผิดและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ดังนั้นเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในทางการแพทย์จึงต้องมีความแม่นยำในการวัดอุณหภูมิ แต่เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในอุตสาหกรรมจะมีช่วงวัดอุณหภูมิที่กว้างกว่าเพื่อรองรับวัตถุชนิดต่างๆ ที่ใช้วัดในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น อาหาร เครื่องจักร วัสดุในโรงงานต่างๆ เช่น ฉนวนกันความร้อน งานด้านไฟฟ้า งานซ่อมบำรุงอาคาร โดยที่ค่าความคลาดเคลื่อนอยู่ที่ ± 1 ถึง 1.5°C ซึ่งเป็นตัวเลขค่าความคลาดเคลื่อนที่โรงงานอุตสาหกรรมยอมรับได้ ดังนั้นการเลือกใช้งานเครื่องวัดอุณหภูมิ อินฟราเรดควรเลือกใช้ให้ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งาน เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดทั้งในทางการแพทย์ และ ในโรงงานอุตสาหกรรมไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้เพราะมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่แตกต่างกัน หากนำมาใช้งานอาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ถ้าในทางการแพทย์อาจถึงขั้นเสียชีวิต ในด้านอุตสาหกรรมอาจทำให้ธุรกิจเสียหายและทำให้สูญเสียรายได้และสูญเสียลูกค้าได้ การเลือกใช้เครื่องวัดอุณหภูมิ อินฟราเรดทั้งในทางการแพทย์ และในด้านอุตสาหกรรมควรเลือกใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดที่ได้รับการรับรองจากองค์กรหรือหน่วยงานที่เป็นที่ยอมรับเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพในการใช้งาน โดยส่วนใหญ่เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในทางการแพทย์ควรได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) และ เครื่องวัดอุณภูมิ อินฟราเรดในโรรงานอุตสาหกรรมควรได้รับการรับรองจาก GMP (ระบบประกันคุณภาพ) หรือถ้าใช้เครื่องอินฟราเรดในโรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับอาหารควรได้รับการรับรองจาก H.C.C.P (ระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมในการผลิตอาหาร) หรือ ISO 22000:2005 (Food Safety Management System: FSMS ระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร) หัวใจที่สำคัญที่สุดของการใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดคือการเลือกใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดให้เหมาะสมกับงานและควรเลือกใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานหรือองค์กรที่เป็นที่ยอมรับ หากลูกค้าต้องการคำปรึกษาหรือต้องการซื้อเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด เจนสโตร์ มีจำหน่าย เครื่องวัดอุณหภูมิ อินฟราเรดทั้งทางการแพทย์และโรงงานในอุตสาหกรรมต่างๆ และยังเป็นศูนย์รวมในการจัดจำหน่ายเครื่องมือช่างแบบครบวงจรสำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรต่างๆ จากแบรนด์ชั้นนำต่างๆ ที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล จึงมั่นใจได้ว่า Jenstore by Jenbunjerd มีเครื่องมือช่างและอุปกรณ์ช่างจากแบรนด์ชั้นนำ โดยทีมขายจากเจนสโตร์ยินดีให้คำแนะนำในการเลือกใช้อุปกรณ์และเครื่องมือช่าง เพื่อช่วยให้คุณสามารถเลือกใช้งานได้อย่างตรงความต้องการ เจนสโตร์รับจัดหาสินค้าและงานสั่งทำ เช่น รถเข็นงานช่าง ตู้เครื่องมือช่าง โต๊ะช่าง ตามความต้องการและรูปแบบการใช้งานของคุณ ช่วยให้การจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือช่างของคุณเป็นเรื่องง่าย ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ :Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย)Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
วิธีเลือกเครื่องวัดอุณหภูมิในอุตสาหกรรมอาหาร

วิธีเลือกเครื่องวัดอุณหภูมิในอุตสาหกรรมอาหารเลือกใช้เครื่องวัดอุณหภูมิให้ถูกที่ และถูกต้องตามมาตรฐาน อุตสาหกรรมอาหารเป็นอุตสากรรมที่อยู่คู่กับประเทศไทยมาช้านานด้วยประเทศไทยมีพื้นที่เหมาะสำหรับทำเกษตรทำให้ประเทศไทยสามารถผลิตอาหารเพื่อใช้บริโภคภายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศได้ ซึ่งขั้นตอนการผลิตอาหารไม่ว่าจะบริโภคในประเทศหรือส่งออกต่างประเทศ สิ่งที่สำคัญคือ อุณหภูมิ การควบคุณอุณหภูมิเป็นสิ่งที่สำคัญมากในขั้นตอนการผลิต เพราะอุณหภูมิเป็นเครื่องชี้วัดถึงคุณภาพของอาหาร รวมถึงความสดใหม่ ดังนั้นการวัดอุณหภูมิของอุตสาหกรรมของอาหารจึงต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทางจากฟาร์มไปจนถึงปลายทางที่ผู้บริโภครับประทาน เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้เป็นไปตามที่กำหนดเพื่อให้ได้อาหารที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค เครื่องวัดอุณหภูมิอาหาร จึงเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมากในอุตสาหกรรมนี้ เครื่องวัดอุณหภูมิจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยคัดกรองอาหารให้มีมาตรฐานเพราะหากขั้นตอนการผลิตไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิอาหารให้ได้ตามที่มาตรฐานกำหนดอาจส่งผลต่อผู้บริโภคที่รับประทานเข้าไปอาจเจ็บป่วยได้ เช่น อาหารแช่แข็งควรรักษาอุณหภูมิที่ 8°C เพื่อหยุดการเติบโตของแบคทีเรีย ส่วนอาหารที่ปรุงสุกก็ต้องมีอุณภูมิที่เหมาะสมเพื่อจะทำลายแบคที่เรียที่อยู่ในอาหาร ในขั้นตอนการผลิตการวัดอุณหภูมิเป็นด่านแรกในการตรวจสอบคุณภาพของชิ้นอาหารหากชิ้นอาหารไม่ได้คุณภาพจะได้คัดแยกออกมา แต่การวัดอุณหภูมิในอุตสาหกรรมอาหารไม่ใช่แค่การวัดที่ชิ้นอาหารเท่านั้นสภาพแวดล้อม รวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ทุกอย่างที่อยู่ในกระบวนการผลิตก็ต้องมีอุณหภูมิที่เหมาะสม ดังนั้นเครื่องวัดอุณหภูมิอาหารจึงมีหลายชนิดซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน ประเภทของเครื่องวัดอุณหภูมิในอุตสาหกรรมอาหาร ที่คล้ายกันในหน้าตาแต่แตกต่างในการใช้งาน 1. เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดเป็นเครื่องมือวัดอุณหภูมิที่ใช้รังสีความร้อนหรือรังสีอินฟราเรดในการตรวจวัดอุณหภูมิจากการแผ่ความร้อน เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิอาหารที่วัดอุณหภูมิบนพื้นผิวของอาหารโดยไม่มีการสัมผัสกับอาหารโดยตรงเพื่อลดการปนเปื้อน เหมาะกับการวัดอุณหภูมิกับอาหารจำนวนมากเพราะสามารถวัดอุณหภูมิในระยะไกลได้ เช่น การวัดอุณหภูมิเพื่อการเก็บรักษา หรือวัดอุณหภูมิในจุดรับวัตถุดิบ เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดบางรุ่นมี Laser Pointer แบบคู่ ช่วยให้วัดค่าได้แม่นยำและถูกต้อง มีฟังก์ชั่นในการจับเวลาการเพิ่มขึ้นและลดลงของอุณหภูมิ มีฟังก์ชั่นหน่วยความจำที่จะช่วยจัดเก็บค่าอุณหภูมิที่อ่านได้หลายครั้ง โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาในการจดบันทึกและลดความผิดพลาดในการจดบันทึกข้อมูล มีขนาดกะทัดรัดสามารถพกพาได้ ทนทานต่อการใช้งาน และตัวเครื่องภายนอกสามารถล้างน้ำได้ นอกจากวัดอุณหภูมิอาหารในอุตสาหกรรมอาหารแล้วเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดยังสามารถใช้ในงานไฟฟ้า งานซ่อมบำรุงได้อีกด้วย 2. เครื่องวัดอุณหภูมิแบบเครื่องถ่ายภาพความร้อน หรือที่เรียกว่า เทอร์โมสแกน เป็นอุปกรณ์ที่ตรวจจับพลังงานอินฟราเรดที่ปล่อยออกมาหรือสะท้อนออกมาและแปลงพลังงานเป็นอุณหภูมิและแสดงออกมาเป็นภาพความร้อนโดยที่ไม่สัมผัสกับวัตถุที่ใช้ในการตรวจสอบ ซึ่งความแม่นยำในการวัดอุณหภูมิของเครื่องวัดอุณหภูมิแบบ เทอร์โมสแกนขึ้นอยู่กับ ชนิดและลักษณะพื้นผิวของวัตถุที่ต้องการวัดอุณหภูมิ ระยะห่างระหว่างเครื่องมือและวัตถุที่ต้องการวัดอุณหภูมิ บางครั้งวัตถุมีการเคลื่อนที่ทำให้รังสีอินฟราเรดของวัตถุผ่านตัวกลาง เช่น ไอ ควัน หรือฝุ่นละออง ทำให้ดูดซับพลังงานไปก่อนถึงเครื่องวัดอุณหภูมิทำให้อุณหภูมิที่ได้มีความคลาดเคลื่อนไป โดยส่วนใหญ่เครื่องวัดอุณหภูมิแบบ เทอร์โมสแกน จะใช้ในงานอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น งานอุตสาหกรรมอาหาร ใช้ตรวจสอบหาความผิดปกติของฉนวนความร้อน เช่น การเสื่อมของฉนวน ในฉนวนห้องเย็น ฉนวนห้องแช่แข็ง ตรวจสอบการทำงานของมอเตอร์ในกระบวนการผลิต ใช้วัดอุณภูมิของผู้ปฏิบัติงานในสายการผลิตอาหาร เพื่อตรวจสอบความเจ็บป่วยที่ไม่แสดงอาการป้องกันการแพร่เชื้อโรคไปสู่อาหาร ตรวจสอบคุณภาพของชิ้นอาหารในกระบวนการแปรรูปอาหาร ให้ได้อุณหภูมิตามที่กำหนดหากตรวจพบว่ามีอุณหภูมิที่สูงกว่าหรือต่ำกว่า ก็สามารถนำชิ้นอาหารแยกออกมาได้ทันที หรือหากพบว่าเครื่องจักรที่ใช้แปรรูปมีความผิดปกติก็สามารถหยุดการผลิตได้ทันทีทำให้ไม่สิ้นเปลืองวัตถุดิบในการผลิต นอกจากนี้เครื่องวัดอุณหภูมิแบบ เทอร์โมสแกนยังใช้ในการงานซ่อมบำรุงเครื่องจักร เช่น ตรวจสอบระบบไฟฟ้า ตรวจสอบการรั่วซึมของอาคารเป็นต้น 3. เครื่องวัดอุณหภูมิอาหารเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิอาหารแบบเทอร์โมมิเตอร์ มีลักษณะหลายแบบ เช่น แบบโพรบ แบบปากกา ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารโดยเฉพาะ เช่น ใช้วัดอุณหภูมิภายในเนื้อสัตว์เพื่อเช็คความสุกเพื่อให้แน่ใจว่าความร้อนได้ทำลายแบคมีเรียแล้ว หัววัดเครื่องวัดอุณหภูมิอาหารทำด้วยหัวสแตนเลสเพื่อใช้วัดอุณหภูมิในอาหาร ในแท่งสแตนเลสจะมีเซนเซอร์ติดอยู่เพื่อให้สามารถวัดอุณหภูมิของอาหารได้แม่นยำ เซนเซอร์ที่นิยมใช้กันมีอยู่ 2 ชนิดคือ 1.เทอร์มิสเตอร์ มีความแม่นยำสูง ช่วงวัดอุณหภูมิอยู่ที่ -40°C ถึง +125°C 2.เทอร์โมคัปเปิล มีความแม่นยำน้อยกว่าแต่มีช่วงอุณหภูมิที่กว้างกว่าถึง -200°C ถึง +1372° จีงนิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหารเครื่องวัดอุณหภูมิอาหารแบบเทอร์โมมิเตอร์นอกจากใช้วัดอุณหภูมิภายในอาหารแล้วบางชนิดออกแบบมาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารประเภทอื่น เช่น ติดตั้งในตู้เย็น หรือตู้แช่แข็ง เพื่อใช้ตรวจสอบอุณหภูมิการเก็บรักษาอาหารว่าเป็นไปตามที่กำหนดหรือไม่เพื่อให้ปลอดภัยต่อผู้บริโภค หรือติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิไว้ในเครื่องล้างจานเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิที่ใช้ว่ามีอุณหภูมิที่ถูกต้องเหมาะสมในการใช้ทำความสะอาดหรือไม่ 4. เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้นมีความสำคัญมากต่ออายุของอาหาร เพราะอุณหภูมิและความชื้นมีผลโดยตรงต่ออาหาร หากเก็บรักษาในห้องที่มีความชื้นสูงเพราะอุณหภูมิไม่ได้ตามที่กำหนดจะทำให้อาหารไม่สด และยังทำให้เชื้อโรคสามารถเติบโตได้ แต่หากเราควบคุมอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสมจะทำให้ยืดอายุของอาหารออกไปและอาหารจะยังมีความสดใหม่ และรักษาคุณค่าทางอาหารไว้ได้อีกด้วย โดยส่วนใหญ่เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้นจะใช้ในห้องคลังสินค้า ห้องแช่แข็งอาหาร หรือโรงงานผลิตอาหารเป็นต้น เครื่องวัดอุณหภูมิเป็นอุปกรณ์ที่ใกล้ชิดกับอาหารเพราะเป็นเครื่องมือที่บ่งบอกว่าอาหารชิ้นนั้นมีคุณภาพตรงตามมาตรฐานหรือไม่ นอกเหนือจากชิ้นอาหารแล้ว เครื่องจักร หรือสภาพแวดล้อมที่ใช้ในการผลิตอาหารก็ต้องมีอุณหภูมิที่เหมาะสมจึงต้องติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิตามจุดต่างๆในกระบวนการผลิตอาหาร เพราะหากไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิโดยรวมในขั้นตอนการผลิตอาหารได้จะส่งผลให้อาหารมีการปนเปื้อน อาจมีการเติบโตของเชื้อโรคส่งผลให้อาหารไม่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคดังนั้นการเลือกใช้เครื่องวัดอุณหภูมิในอุตสาหกรรมอาหารให้ได้ตามมาตรฐานควรได้รับการรับรองจากหน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวกับอาหารเพื่อเป็นการรับรองว่าเครื่องวัดอุณหภูมินี้ได้มาตรฐานและมีความแม่นยำในการใช้งาน เครื่องหมายรับรองที่เครื่องวัดอุณหภูมิในอุตสาหกรรมอาหารควรต้องมีGMP (Good Manufacturing Practice) เป็นหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตสินค้า ซึ่งเป็นข้อกําหนดขั้นพื้นฐานที่จําเป็นในขั้นตอนการผลิต โดยผู้ผลิตจะต้องปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ เพื่อจะได้ผลิตสินค้าที่มีความปลอดภัยกำจัดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับผู้บริโภค ซึ่งการผลิตเครื่องวัดอุณหภูมิหากได้การรับรองจาก GMP ย่อมหมายถึงเป็นเครื่องมือที่มีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล เพราะ GMP เป็นระบบประกันคุณภาพที่ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการด้านอาหารทั่วโลก รวมถึงผู้บริโภคด้วยHACCP (Hazard Analysis and Critical Control Point) เป็นระบบการวิเคราะห์จุดวิกฤตที่ต้องควบคุม ซึ่งเป็นระบบที่ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับความปลอดภัยของอาหารในทุกขั้นตอนการผลิต เป็นการป้องกันความเสี่ยงที่เป็นพิษต่อผู้บริโภค ระบบ HACCP เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบันและเป็นระบบที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกมากที่สุด เพราะได้ผนวกโปรแกรมสุขาภิบาลขั้นพื้นฐานมาร่วมด้วย ดังนั้นหากเครื่องวัดอุณหภูมิที่ใช้งานได้รับการรับรองจาก HACCP สามารถเชื่อมั่นได้ว่าเครื่องวัดอุณหภูมิที่ได้ผลิตภายใต้ระบบ HACCP จะมีความปลอดภัยทั้งต่ออาหารและผู้บริโภคการเลือกใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอาหารนั้นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวอุปกรณ์ และต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพในการใช้งานทั้งเรื่องระบบ ความแม่นยำ และเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกที่ต้องสะดวกและมีประสิทธิภาพในการใช้งาน ดังนั้นในการเลือกใช้เครื่องวัดอุณหภูมินั้นควรเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีการรับรองจากหน่วยงานหรือองค์กรที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับเพราะจะทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ของเรามากขึ้น หากกลุ่มธุรกิจด้านอาหารมีความสนใจในเครื่องวัดอุณหภูมิสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสามารถติดต่อสอบถาม JenStore by Jenbunjerd ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องวัดอุณหภูมิที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารที่มีมาตรฐาน โดยเจนสโตร์มีจำหน่ายเครื่องวัดอุณหภูมิ หลากหลายชนิด เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด เครื่องวัดอุณหภูมิอาหาร เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้น พร้อมทั้งให้คำปรึกษาในการเลือกใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอย่างถูกต้องในอุตสาหกรรมอาหาร ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ : Website : https://www.jenstore.com (Live Chat)Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย)Email : [email protected] Official Account: @jenstoreFacebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
ทำความรู้จักกับประเภทล้อรถเข็นอุตสาหกรรม

ทำความรู้จักกับประเภทล้อรถเข็นอุตสาหกรรมลูกล้ออุตสาหกรรมแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร รถเข็น อุตสาหกรรมถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอุปกรณ์อเนกประสงค์ที่จะขาดไปไม่ได้เลยสำหรับอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม โกดังจัดเก็บสินค้า หรือศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ เพราะรถเข็นอุตสาหกรรมเหล่านี้คือสิ่งที่มีหน้าที่สำคัญในการช่วยทุ่นแรงที่เราจะต้องใช้ไปกับการขนย้ายสิ่งของ และช่วยอำนวยความสะดวกให้การขนย้ายสิ่งของไปยังจุดต่าง ๆ สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วการเลือกวัสดุที่จะนำมาใช้ในการผลิตขึ้นรูปเป็นรถเข็นอุตสาหกรรมที่มีความแข็งแรงและทนทานต่อการใช้งานในทุกสภาวะ จึงเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานทุกคนควรให้ความสำคัญควบคู่ไปกับการเลือกคุณภาพของ “ ล้อรถเข็น หรือ ล้ออุตสาหกรรม ” ให้มีความเหมาะสมกับประเภทของงานและพื้นที่ในการใช้งานเนื่องจากล้อรถเข็นหรือล้ออุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่ได้มีหน้าที่สำคัญเพียงแค่การช่วยขับเคลื่อนให้รถเข็นอุตสาหกรรมสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าตามทิศทางที่ต้องการได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ล้อรถเข็นเหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่จะต้องทำหน้าที่ในการช่วยรองรับน้ำหนักของอุปกรณ์หรือสิ่งของที่ถูกขนย้ายมาบนรถเข็นอุตสาหกรรมอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วเพื่อช่วยให้การใช้งาน รถเข็น อุตสาหกรรมสำหรับการขนย้ายสินค้าเป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุดนั้น วันนี้เราจึงมีข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับประเภทของล้อรถเข็นอุตสาหกรรมมาให้ทุกคนได้ศึกษาทำความเข้าใจก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อรถเข็นอุตสาหกรรมมาใช้งาน เพื่อการเลือกใช้งานล้อรถเข็นหรือล้ออุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทำความรู้จักกับประเภทล้อรถเข็นอุตสาหกรรมล้อรถเข็นไนล่อน (Nylon Caster)ล้อรถเข็นสีขาว หรือล้อรถเข็นไนล่อน เป็นล้ออุตสาหกรรมประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานในหลากหลายสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมที่มีความเปียกชื้น มีอุณหภูมิสูง อุณหภูมิต่ำ มีสารเคมี หรือมีคราบน้ำมัน เพราะ ล้อไนล่อน เป็นล้ออุตสาหกรรมที่ถูกผลิตขึ้นรูปมาจากเส้นใยพลาสติกสังเคราะห์ จึงทำให้ล้อรถเข็นไนล่อนมีความแข็งแรง ทนทาน และยืดหยุ่นดีมากกว่าล้อพลาสติกทั่วไป อีกทั้งล้อไนล่อนยังสามารถทนทานต่อการกัดกร่อนและทนทานต่อการใช้งานในทุกช่วงอุณหภูมิตั้งแต่ -40 °C ไปจนถึง +80 °Cและอีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญของการใช้งาน ล้อไนล่อน คือ ล้อรถเข็นไนล่อนเป็นล้อที่สามารถเข็นได้ง่ายและไม่เกิดการยุบตัวในขณะที่กำลังเข็นแม้จะรองรับน้ำหนักบรรทุกที่มากก็ตาม จึงทำให้การใช้งานล้อไนล่อนสามารถช่วยอำนวยความสะดวกและทุ่นแรงของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้ล้อไนล่อนยังไม่ก่อให้เกิดคราบสกปรกบนทุกพื้นผิวที่ได้มีการนำมาใช้งาน จึงทำให้ล้อรถเข็นไนล่อนเหมาะสำหรับการนำมาใช้งานทั้งภายในและภายนอกอาคารหรือโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ล้อรถเข็นยางธรรมชาติ (Rubber Caster)ล้อรถเข็นยางธรรมชาติที่มีสีดำโดดเด่น ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในประเภทของล้อรถเข็นที่หลาย ๆ คนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะล้อรถเข็นยางธรรมชาติเป็นล้ออุตสาหกรรมที่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานในหลากหลายพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานภายในอาคาร ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ตลอดจนการนำมาใช้งานภายในโรงงานอุตสาหกรรม โกดังจัดเก็บสินค้า และคลังสินค้า เป็นต้น เนื่องด้วยข้อดีของ ล้อยาง ธรรมชาติที่มีความนิ่มและยืดหยุ่นดีกว่าล้อรถเข็นประเภทอื่น ๆ จึงทำให้ล้อยางธรรมชาติสามารถเข็นง่าย เลี้ยวคล่อง และไม่ก่อให้เกิดเสียงรบกวนในขณะใช้งานยิ่งไปกว่านั้นด้วยความยืดหยุ่นที่เหนือระดับของล้อรถเข็นยางธรรมชาตินี้เอง ยังช่วยทำให้ไม่เกิดร่องรอยการใช้งานของล้อรถเข็นบนพื้นแทบจะทุกประเภทไม่ว่าจะพื้นกระเบื้อง พื้นไม้ พื้นหินอ่อน หรือพื้นคอนกรีต จึงทำให้ ล้อยาง ธรรมชาติเหมาะสำหรับการนำมาใช้งานในพื้นที่ที่ต้องมีการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์หรือสินค้าไปตามจุดต่าง ๆ อยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งล้อรถเข็นยางธรรมชาติยังสามารถรองรับน้ำหนักในการบรรทุกได้ดีและมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างยาวนานอีกด้วย ล้อรถเข็นยูรีเทน (Polyurethane Caster)ล้อรถเข็นยูรีเทน เป็นหนึ่งในประเภทของล้ออุตสาหกรรมที่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานร่วมกับรถเข็นอุตสาหกรรม เพื่อการใช้งานสำหรับการขนย้ายสินค้าทั้งบริเวณภายในและภายนอกอาคารอย่างแพร่หลาย เนื่องจาก ล้อยูรีเทน ถือได้ว่าเป็นล้ออุตสาหกรรมที่ได้มีการรวบรวมข้อดีของล้อรถเข็นที่ผลิตจากไนล่อนและยางธรรมชาติเข้ามาไว้ด้วยกัน จึงทำให้ล้อยูรีเทนมีความแข็งแรง ทนทาน สามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกได้มากโดยไม่ทำให้ล้อรถเข็นเสียรูปทรง อีกทั้งตัวล้อยูรีเทนยังมีความเหนียว ไม่ฉีกขาดง่าย จึงทำให้สามารถนำมาใช้งานบนพื้นผิวที่มีความหยาบและขรุขระได้เป็นอย่างดีนอกจากนี้ ล้อยูรีเทน ยังสามารถนำมาใช้งานได้ในทุกสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นการนำมาใช้งานในพื้นที่แห้ง พื้นที่เปียก หรือพื้นที่ที่มีสารเคมี และที่สำคัญคือล้อรถเข็นยูรีเทนเป็นล้ออุตสาหกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดเสียงรบกวน และไม่ก่อให้เกิดรอยล้อหรือคราบสกปรกบนพื้นในระหว่างการใช้งาน จึงทำให้ล้อยูรีเทนเหมาะสำหรับการนำมาใช้งานบนพื้นผิวของอาคารและโรงงานอุตสาหกรรมได้ทุกรูปแบบทั้งพื้นไม้ พื้นกระเบื้อง พื้นเซรามิก พื้นหินอ่อน และพื้นคอนกรีต เป็นต้น ล้อรถเข็นพลาสติก (Polypropylene Caster)โดยส่วนใหญ่แล้วล้อรถเข็นพลาสติกจะเป็นล้ออุตสาหกรรมที่สามารถผลิตขึ้นรูปมาได้จากพลาสติกหลายประเภท แต่สำหรับประเภทของพลาสติกที่ได้รับความนิยมในการนำมาผลิตเป็นล้อรถเข็นพลาสติกมากที่สุดนั้น คือ พลาสติกประเภทโพลีโพรพิลีน (Polypropylene – PP) เนื่องจากพลาสติกดังกล่าวนี้เป็นพลาสติกที่มีคุณสมบัติที่ดีในด้านของความเหนียว แข็งแรง ทนทาน และมีความยืดหยุ่นค่อนข้างดี จึงทำให้ล้อรถเข็นพลาสติกที่ได้ออกมานั้นมีความแข็งแรง ทนทาน คงรูป และไม่แตกหักง่ายตามไปด้วยและนอกจากนี้ล้อรถเข็นพลาสติกยังสามารถทนทานต่อการกระแทก การขีดข่วน และการกัดกร่อนจากสารเคมีต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งล้อรถเข็นพลาสติกยังสามารถนำมาใช้งานได้ในหลากหลายสภาวะตั้งแต่สภาวะที่มีอุณหภูมิต่ำตั้งแต่อุณหภูมิ -20 °C ไปจนถึงอุณหภูมิสูงถึง +60 °C แต่อย่างไรก็ตามด้วยข้อจำกัดในเรื่องของความสามารถในการรองรับน้ำหนักบรรทุกที่ไม่ได้ดีมากเท่ากับล้ออุตสาหกรรมประเภทอื่น ๆ ส่งผลให้ล้อรถเข็นพลาสติกจึงเป็นล้อที่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานเพื่อการขนย้ายอุปกรณ์และสิ่งของภายในอาคารมากกว่าภายนอกอาคาร ล้อรถเข็นเหล็กหล่อ (Cast Iron Caster)ล้อรถเข็นเหล็กหล่อ ถือได้ว่าเป็นล้ออุตสาหกรรมที่มีความแข็งแรงและทนทานมากที่สุดในล้ออุตสาหกรรมทุกประเภท จึงทำให้โดยทั่วไปแล้วล้อรถเข็นเหล็กหล่อจึงได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานในอุตสาหกรรมหนัก และการใช้งานเพื่อขนย้ายอุปกรณ์และสิ่งของที่บริเวณพื้นที่กลางแจ้งหรือพื้นที่ภายนอกอาคารที่มีความหยาบ ขรุขระ หรือมีพวกเศษไม้และของมีคม เนื่องจากล้อรถเข็นเหล็กหล่อสามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกได้มาก และสามารถรองรับต่อแรงกระแทกที่เกิดขึ้นในระหว่างการใช้งานได้เป็นอย่างดีแต่อย่างไรก็ตามความแข็งแรงและทนทานของล้อเหล็กหล่อนั้นก็ต้องแลกมาด้วยข้อจำกัดในการใช้งานที่มากกว่าล้ออุตสาหกรรมประเภทอื่น ๆ เนื่องจากล้อรถเข็นเหล็กหล่อเป็นล้ออุตสาหกรรมที่ไม่สามารถนำมาใช้งานภายในอาคารหรือบนพื้นผิวที่เป็นพื้นไม้ พื้นกระเบื้อง พื้นหินอ่อน หรือพื้นเซรามิกได้ เพราะอาจทำให้พื้นผิวเหล่านี้เกิดรอยขีดข่วนหรือรอยของล้อรถเข็นบนพื้นที่ไม่สามารถเช็ดทำความสะอาดออกได้ อีกทั้งการใช้งานล้อรถเข็นเหล็กหล่อบนพื้นเหล่านี้ยังก่อให้เกิดเสียงรบกวนในระหว่างการใช้งานที่มากกว่าการใช้งานล้อรถเข็นประเภทอื่น ๆ อีกด้วย หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่กำลังมองหา รถเข็น อุตสาหกรรมคุณภาพสูง ที่มีความแข็งแรงทนทานในการใช้งาน และเหมาะสำหรับการนำมาใช้งานเพื่อการขนย้ายสิ่งของทั้งบริเวณภายในและภายนอกอาคารได้เป็นอย่างดี JenStore by Jenbunjerd เราคือผู้ช่วยคู่คิด ที่พร้อมช่วยดูแลและให้คำแนะนำในการเลือกซื้ออุปกรณ์รถเข็นอุตสาหกรรมสำหรับการจัดเก็บยกย้ายสินค้า โดยมีลูก ล้อรถเข็น และ ล้ออุตสาหกรรม ที่ตอบโจทย์และเหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานของแต่ละธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ล้อยูรีเทน , ล้อยาง , ล้อยางธรรมชาติ, ล้อยางสังเคราะห์, ล้อไนล่อน , ล้อพลาสติก, และล้อเหล็กหล่อ พร้อมด้วยบริการติดตั้งและการดูแลหลังการขายแบบครบวงจรโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากเจนสโตร์ที่มากประสบการณ์ในวงการอุปกรณ์ “จัด เก็บ ยก ย้าย” มากว่า 35 ปี เพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของคุณได้อย่างดีและสมบูรณ์แบบมากที่สุด ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ :Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
สแตนเลสประเภทที่เจนบรรเจิดเลือกใช้ใน รถเข็น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ เกรดพรีเมี่ยม

สแตนเลสประเภทที่เจนบรรเจิดเลือกใช้ใน รถเข็น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ เกรดพรีเมี่ยม เปิดเบื้องหลังที่เจนบรรเจิดต้องเลือกใช้สแตนเลส 304 ผลิตรถเข็น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ เกรดพรีเมี่ยม ‘สแตนเลส’ นับว่าเป็นวัสดุที่มีความคงทนต่อการกัดกร่อนได้ดีเยี่ยม และมีความแข็งแรง ทน ทานอุณหภูมิได้ตั้งแต่เย็นจัดจนถึงประมาณ 600°C รวมทั้งใช้สามารถนำมาใช้งานที่เกี่ยวข้องกับงานที่ต้องการสุขอนามัยหรือความสะอาด จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ยิ่งนับวันธุรกิจหลากหลายประเภท มีความต้องการใช้อุปกรณ์ทั้ง โต๊ะสแตนเลส รถเข็นสแตนเลส และ เก้าอี้ หรือ กระทั่งตู้สแตนเลสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบัน ‘สแตนเลส’ ที่เรานำมาเป็นวัสดุในการผลิต โต๊ะสแตนเลส รถเข็นสแตนเลส และเก้าอี้สแตนเลส มีมากมายหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนั้นการเลือกสแตนเลสเพื่อใช้ดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล ในห้องแล็บ ห้องเย็น โรงงานอาหารและยา เป็นต้น ควรเลือกให้สอดคล้องกับการใช้งานหรือธุรกิจนั่นเอง โดยสแตนเลสที่ใช้งานกันอยู่ในขณะนี้สามารถจำแนกได้ ดังนี้ Type 102 เป็นสแตนเลสออสเทนนิติก (Austenitic) เหมาะสำหรับการใช้งานเฟอร์นิเจอร์ 200 Series เป็นสแตนเลสที่ผสมออสเทนนิติกโครเมียม-นิกเกิล-แมงกานีส (Ustenitic chromium-nickel-manganese alloy ) ที่ใช้สำหรับงานโลหะทั่วไป 300 Series เป็นสแตนเลสโลหะผสมโครเมียม-นิกเกิลออสเทนนิติก (Austenitic chromium-nickel alloy) ประกอบด้วยสแตนเลสเกรดยอดนิยม เกรด 304 สแตนเลสชุดนี้ใช้สำหรับช้อนส้อมอาหารและอ่างขัดสำหรับผ่าตัดและเครื่องมือต่างๆ 400 Series เป็นสแตนเลส โลหะผสมโครเมียมเฟอร์ริติกและมาร์เทนซิติก (Ferritic and martensitic chromium alloy) ถือว่าเป็นสแตนเลสที่ถูกที่สุด โดยนำไปใช้สำหรับท่อไอเสียรถยนต์ เหล็กช้อนส้อมคุณภาพสูงกว่า และใช้สำหรับดาบและมีดจำลอง 500 Series เป็นสแตนเลส โครเมียมอัลลอยด์ทนความร้อน 600 Series เป็นสแตนเลส ที่ผสมมาร์เทนซิติกที่เกิดขึ้นจากการชุบแข็งแบบตกตะกอน Type 2205 เป็นสแตนเลส ที่ผสมดูเพล็กซ์ (ทั้งเฟอริกและออสเทนนิติก) ที่มีความแข็งแรงและทนต่อการกัดกร่อนได้ดีเยี่ยม Type 2304 เป็นสแตนเลสโลหะผสมที่คล้ายกับประเภท 2205 ทุกประการ ยกเว้นปริมาณโมลิบดีนัมที่ต่ำกว่า ส่งผลให้การกัดกร่อนแบบหลุมลดลง สแตนเลสเกรด 304 เป็นที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะมีโครเมียม 18-20% และปริมาณนิกเกิล 8-10.5% จึงมีความแข็งแรง ทนทานต่อการกัดกร่อน เหมาะกับการใช้งานที่ต้องทนต่อการสัมผัสกับอาหาร สารเคมี หรือกระทั่งน้ำ สแตนเลสเกรด 316 เป็นที่นิยมรองลงมาจากเกรด 304 โดยมีความแตกต่างที่สำคัญคือเหล็กกล้าไร้สนิม 316 มีโมลิบดีนัมประมาณ 2-3 % โมลิบดีนัมมีความสามารถในการป้องกันคลอไรด์และตัวทำละลายอุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่งทำให้เหล็กมีความทนทานต่อการกัดกร่อนมากขึ้น เหมาะกับการใช้กับงานทนกรด ทนเคมี หรือเป็นเกรดที่ปฏิกิริยากับกรดน้อย สแตนเลส 316L เหมาะกับการใช้งานในสภาวะทนกรดที่เข้มข้นมากกว่า ทนเคมีมากกว่า หรือเป็นเกรดที่ปฏิกิริยากับกรดน้อยมาก (มีความทนกรดมากกว่า) สแตนเลส 420 (มาตรฐานอเมริกา) 420J2 (มาตรฐานญี่ปุ่น) เป็นสแตนเลสที่มีคุณสมบัติสามารถนำไปชุบแข็งได้ (ชุบแล้วความแข็งขึ้นประมาณ 58 HRC) อย่างไรก็ดี หากจะเลือกใช้สแตนเลสให้สามารถใช้งานได้ยาวนาน หรือโอกาสเกิดการกัดกร่อนและเป็นสนิมน้อย ควรจะเป็นสเตนเลสที่มีส่วนผสมของธาตุโลหะต่างๆ ด้วยกัน 3 ด้าน ดังนี้ คือ 1.มีปริมาณ คาร์บอน น้อยกว่า 0.15 % เพื่อป้องกันการเกิดสนิมและการกัดกร่อน 2.ปริมาณ โครเมี่ยม มากกว่า 18 % เพื่อให้เกิดชั้นฟิลม์ในการป้องกันการกัดกร่อน และ 3.ปริมาณ นิเกิล มากกว่า 8 % เพื่อเสริมความแข็งแรงและเกิดกระบวนการซ่อมแซมตัวเองของชั้นฟิล์ม เมื่อเกิดการกัดกร่อน สแตนเลสประเภทที่เจนบรรเจิดเลือกใช้ในโต๊ะและรถเข็นสแตนเลส สำหรับ “เจนบรรเจิด” เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายและส่งออกสินค้าในอุตสาหกรรมครบครัน ทั้งอุปกรณ์จัดเก็บ ยก ย้าย (Materials Handling Equipment) และเป็นผู้ผลิต โต๊ะสแตนเลส รถเข็นสแตนเลส เก้าอี้สแตนเลส รวมทั้ง รับทําโต๊ะสแตนเลส มากมายหลากหลายรูปแบบ โดยวัสดุในการผลิตได้คัดสรร ‘สแตนเลส’ (Stainless) เกรดระดับพรีเมี่ยม ซึ่งก็คือ สแตนเลส304 (Stainless 304) ซึ่งอยู่ในสแตนเลส ตระกูล ออสเทนิติค (Austenitic stainless steel) ที่ถือว่าเป็นสแตนเลส มาตรฐาน Food Grade เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้ในการผลิต และแปรรูปอาหาร การทำเบเกอรี่ (Bakery) ไปจนถึงอุปกรณ์เวชภัณฑ์ต่าง ๆ ในโรงพยาบาล ห้องแล็ป ห้องยา เป็นต้น “สเตนเลส 304” คืออะไร มีชื่อเป็นทางการ เหล็กกล้าไร้สนิม ที่มีความต้าน ทานการกัดกร่อนสูง สแตนเลสเป็นโลหะผสมระหว่างเหล็กและคาร์บอน ซึ่งส่วนประกอบจะมีปริมาณคาร์บอนต่ำ มีโครเมียม เป็นส่วนผสมหลัก ประมาณ 10.5 % หรือมากกว่าทำให้เกิดการสร้างฟิล์มโครเมียมออกไซด์ (chromium oxide film : CrO2 หรือเรียกว่า passive film) ที่มองไม่เห็นเกาะติดแน่นอยู่ที่ผิวหน้าทำให้เหล็กกล้า มีความต้านทานการกัดกร่อน ฟิลม์ปกป้องนี้จะมีความบางเทียบเท่ากับวางกระดาษ 1 แผ่นบนตึกสูง 20 ชั้น ถ้าฟิล์มที่ผิวหน้านั้น ถูกทำลายไม่ว่าจากแรงกล สารเคมี หรือออกซิเจนที่มีอยู่ในบรรยากาศ แม้จำนวนน้อยนิดจะเข้าทำปฏิกิริยากับโครเมียม สร้างฟิล์มโครเมียมออกไซด์ทดแทนขึ้นใหม่ด้วยตัวมันเอง ข้อดีของสแตนเลส 304 เป็นสแตนเลสชนิดหนึ่งในกลุ่มออสเตนนิติค (Austenitic) ซึ่งสแตนเลสชนิดนี้ จะมีจุดเด่นที่ ความทนทาน มีความเหนียวสูง ต้านการการกัดกร่อนสูง ทนความร้อนได้สูง ขึ้นรูปได้ดี ไม่เป็นสนิม ไม่ดูดซึมสาร กล่น และรสชาติ สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานเกิดจากการผสมโลหะระหว่างเหล็ก และคาร์บอน โครเมียม และนิกเกิล เป็นส่วนผสมหลัก อย่างไรก็ดีสแตนเลส 304 จะมีราคาค่อนข้างแพง เนื่องจากการเติมนิเกิลซึ่งมีคุณสมบัติต้านทานการกัดกร่อนที่ดีกว่า นอกจากนี้ยังให้ความสว่างที่ดีกว่าและมีความยืดหยุ่นที่ดี ด้วยคุณสมบัติของ “สเตนเลส 304” เจนบรรเจิด จึงนำมาผลิต โต๊ะสแตนเลส รถเข็นสแตนเลส เก้าอี้สแตนเลส รวมทั้งยังมีบริการ รับทําโต๊ะสแตนเลส รวมทั้งยังมีอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มสินค้าให้เลือกมากมาย ได้แก่ โต๊ะสเตนเลส พร้อมชั้นวางด้านล่าง ที่เหมาะสำหรับงานในห้องแล็บ ห้องเย็น โรงงานอาหารและยา หรืองานเปียกชื้น โดยมีโครงสร้างสเตนเลสทั้งตัว หน้าโต๊ะผลิตจากสเตนเลสเกรด 304 เก้าอี้สเตนเลส แบบทั่วไปที่มีความแข็งแรง ทนแดด ทนฝนและเก้าอี้สแตนเลสแบบมีล้อสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก และยังสามารถปรับสูง-ต่ำ ได้ 500-650 มม. ตามความต้องการของการใช้งาน โดยที่นั่งของเก้าอี้ผลิตจากสเตนเลสเกรด 304 ระดับพรีเมี่ยม รถเข็นสแตนเลส แบบชั้นเดียวและแบบสองชั้นและแบบสามชั้น โดยมีดีไซน์ที่สวยงามและรองรับน้ำหนักได้ดีและฟังก์ชั่นสอดคล้องกับการใช้งานแบบมีด้ามจับและขอบป้องกันของตก ผลิตจากสแตนเลส 304 สามารถใช้งานทั้งโรงพยาบาล ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจค้าปลีก เป็นต้น บริการ รับทําโต๊ะสแตนเลส เจนบรรเจิด มีบริการรับทำโต๊ะสแตนเลสตามมาต้องการของลูกค้าทั้งโรงพยาบาล ธุรกิจร้านอาหาร ห้องแล็ป ห้องยา ที่ต้องการขนาดที่เหมาะสมกับพื้นที่ หรือกระทั่งการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะสมกับธุรกิจหรือการใช้งาน ด้วยวัสดุสแตนเลส 304 เหตุผลที่เจนบรรเจิดเลือกใช้สเเตนเลสเกรด 304 เพื่อส่งมอบ โต๊ะสแตนเลส รถเข็นสแตนเลส เก้าอี้สแตนเลส รวมทั้ง รับทําโต๊ะสแตนเลส ที่มีความแข็งเเรงคงทนในการใช้งานและไม่เป็นสนิม และยังทำความสะอาดและดูแลรักษาง่ายเนื่องจากคุณสมบัติของสแตนเลสที่ไม่เป็นสนิม และความเป็นกลางสูงไม่ดูดซึมรสชาติอาหารใดๆ อีกทั้งยังมีความคงทน แข็งแรงเนื่องจากจุดหลอมเหลวสูงกว่าเหล็กมาก และมีความสวยงาม ด้วยเนื้อสแตนเลสที่มีความเงางาม ซึ่งจะส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ JenStore by Jenbunjerd จำหน่าย โต๊ะสแตนเลส รถเข็นสแตนเลส หลากหลายรูปแบบ และ รับผลิตโต๊ะสแตนเลสและรถเข็นสแตนเลสตามแบบและความต้องการใช้งาน ผลิตโดยโรงงานสแตนเลสด้วยช่างมืออาชีพ หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อทีมขายเจนสโตร์สายด่วนสั่งซื้อสินค้าบริการจัดหาสินค้า สินค้าสั่งทำ เลขหมายโทรศัพท์ 02 096 9999 (200 คู่สาย) บริการหลังการขาย 02 096 9898 ต่อ 3102-3103 หรือ Line@jenstore ในเวลาทำการ 08.30 - 17.30 น. ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ : Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บด้วยการใช้ชั้นวางสินค้าให้ถูกประเภท

เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บด้วยการใช้ชั้นวางสินค้าให้ถูกประเภท ชั้นวางของเหล็ก ชั้นวางสินค้า หรือชั้นวางของอเนกประสงค์แบบไหนที่เหมาะกับการจัดเก็บของคุณ ใครหลายคนอาจมองว่าการจัดเก็บเอกสารหรือการจัดเก็บสิ่งของสำนักงานเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ว่าใครก็สามารถจัดการได้ทั้งนั้น แต่สำหรับคนที่ทำงานสำนักงานที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ท่ามกลางเอกสารและพัสดุมากมายโดยเฉพาะบริษัทที่ทำธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีการดิลกับคู่ค้ามากมาย การจัดเก็บข้อมูลเอกสารและพัสดุอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากจะต้องเก็บรักษาข้อมูลเอกสารและพัสดุแล้วยังต้องแยกหมวดหมู่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อที่จะได้ง่ายต่อการค้นหา และด้วยสาเหตุนี้เองจึงส่งผลให้มีการจัดจำหน่ายชั้นวางที่หลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็น ชั้นวางของเหล็ก , ชั้นวางสินค้า , ชั้นวางของอเนกประสงค์ ,ชั้นวางเสาเรียบ ,ชั้นวางตะแกรงลวด ,ชั้นวางพัสดุทั่วไป และชั้นวางอื่นๆ เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้ตอบโจทย์ต่อความต้องการของผู้ใช้งานให้ได้มากที่สุด ประเภทของชั้นวางมีอะไรบ้าง ? เชื่อว่าหลายคนคงเคยพบเห็นชั้นวางของประเภทต่างๆ ที่จัดจำหน่ายตามท้องตลาดกันมาบ้างแล้ว สำหรับบทความนี้เราจะขอแยกประเภทชั้นวางออกเป็นสี่ประเภทหลักๆ โดยแบ่งประเภทตามลักษณะและโครงสร้างของการนำไปใช้งาน อันได้แก่ ชั้นวางของเหล็ก ,ชั้นวางตะแกรงลวด ,ชั้นวางเสาเรียบ และ ชั้นวางสินค้า / ชั้นวางของอเนกประสงค์ ซึ่งชั้นวางของทั้งสี่ประเภทนี้มักจะถูกไปนำใช้งานที่แตกต่างกันออกไป สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่หากต้องการชั้นวางสินค้าคุณภาพ สามารถสอบถามรายละเอียดสินค้าหรือดิลราคาส่งเพิ่มเติมได้ที่นี่ ชั้นวางของเหล็ก : สำหรับชั้นวางของเหล็กหรือที่หลายคนมักเรียกว่าชั้นวางของเหล็กพ่นสีมักจะทำมาจากวัสดุเหล็กขึ้นรูปซึ่งมีคุณภาพสมบัติที่เน้นในเรื่องความแข็งแรงทนทานเป็นหลัก เพราะสามารถรองรับน้ำหนักได้มากถึง 300 กิโลกรัม/ชั้นวาง อีกทั้งยังสามารถเลือกสเปคจำนวนชั้นวางสินค้า/ชั้นวางเอกสารได้ตามใจชอบโดยมักจะเริ่มตั้งแต่ชั้นวางของเหล็กสี่ชั้นไปจนถึงชั้นวางของเหล็กหกชั้น ทั้งนี้ก็สามารถเลือกชั้นวางของเหล็ก ให้ตอบโจทย์ต่อการใช้งานได้เลย ชั้นวางตะแกรงลวด : สำหรับชั้นวางตะแกรงลวดส่วนใหญ่แล้วจะออกแบบให้มีขนาดความกว้าง ยาว สูงที่แตกต่างกันออกไปเพื่อที่จะได้ตอบโจทย์ต่อการใช้งานได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะทั้งธุรกิจขนาดเล็กและขนาดใหญ่โดยความกว้าง ยาว สูงที่แตกต่างกันออกไปนั้นก็ส่งผลให้เกิดความแตกต่างในเรื่องความสามารถในการรองรับน้ำหนักเช่นกัน โดยมีสเปคจำนวนชั้นวางสินค้า/ชั้นวางเอกสารสองแบบ อันได้แก่ ชั้นวางตะแกรงลวดสี่ชั้นและห้าชั้น ความพิเศษของชั้นวางตะแกรงลวด คือบางรุ่นมีล้อและสามารถรองรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 100-250 กิโลกรัม/ชั้นวางเลยทีเดียว ชั้นวางเสาเรียบ : สำหรับชั้นวางเสาเรียบ จะมีความแตกต่างกับชั้นวางของเหล็กและชั้นวางตะแกรงลวดที่กล่าวไปข้างต้น เพราะชั้นวางเสาเรียบจะมีการออกแบบที่ผสมผสานระหว่างเหล็กเคลือบสีชั้นดีกับไม้ลามิเนตคุณภาพก่อให้เกิดเป็นชั้นวางเสาเรียบที่มีการดีไซต์ที่สวยงาม หลายคนอาจกังวลว่าทำจากไม้ลามิเนตชั้นวางสินค้าอาจไม่มีความแข็งแรงทนทานเหมือนกับที่ทำจากเหล็ก แต่สำหรับเราที่คัดสรรเฉพาะแผ่นไม้ลามิเนตคุณภาพหนาถึง 10 มิลลิเมตร อีกทั้งยังมีคุณสมบัติที่ทนต่อรอยขีดข่วนและรับแรงกดกระแทกได้เป็นอย่างดีเพราะสามารถรองรับน้ำหนักได้มากถึง 180-250 กิโลกรัม/ชั้นวาง ในส่วนของเสาก็ทำจากเหล็กเคลือบสีอย่างดีทนทานต่อการใช้งานอย่างแน่นอน และที่สำคัญมีดีไซต์ที่โมเดิร์นทันสมัยสามารถนำไปประดับเป็นอีกหนึ่งเฟอร์นิเจอร์ในออฟฟิศสำนักงานให้ดูดีมีระดับขึ้นได้ ชั้นวางสินค้า / ชั้นวางของอเนกประสงค์ : สำหรับชั้นวางสินค้า/ชั้นวางของอเนกประสงค์จะเหมาะสมกับการจัดเก็บพัสดุสำนักงาน ,โชว์รูม ,ของใช้ภายในบ้าน หรือของใช้สำนักงาน โดยมักมีการออกแบบโครงสร้างที่ผลิตจากเหล็กพ่นสี แต่ความแข็งแรงทนทานและการรับน้ำหนักอาจไม่มากเท่าชั้นวางของเหล็ก โดยเฉลี่ยต่อชั้นวางจะสามารถรองรับน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 70 กิโลกรัม จุดเด่นของชั้นวางสินค้าประเภทนี้คือประกอบได้ง่าย ,ปรับระดับความสูงต่ำได้ตามที่ต้องการ และไม่จำเป็นต้องใช้น็อตในการยึดชั้นวางสินค้า ดังนั้นจึงเหมาะอย่างยิ่งในการวางของภายในบ้านหรือภายในสำนักงาน สามารถสอบถามหรือดิลราคาปลีก-ส่งเพิ่มเติมได้ที่นี่ การเลือกชั้นวางสินค้าให้ถูกประเภทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บ หลังจากที่เราทราบถึงประเภทของชั้นวางสินค้าทั้งสี่ประเภทพอสังเขปแล้ว ลำดับต่อไปเราจะขอพูดถึงการเลือกชั้นวางให้ถูกประเภทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บ เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้นการเก็บเอกสารหรือพัสดุสำหรับบางคนอาจเป็นเรื่องที่ง่ายเพราะอาจเป็นธุรกิจขนาดเล็ก แต่สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเอกสารหรือพัสดุย่อมมีมากมายหลายรูปแบบ หลากหลายประเภท ดังนั้นการเลือกชั้นวางสินค้า ชั้นวางของอเนกประสงค์ให้เหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและควรมีการเลือกอย่างไร ไปอ่านพร้อมๆ กันเลย ทราบถึงขนาดและลักษณะของธุรกิจตัวเอง : หากลักษณะของธุรกิจเป็นประเภทขายสินค้า แน่นอนว่าก็ควรเลือกซื้อ ชั้นวางสินค้า ที่สามารถบรรจุพัสดุที่จำนวนมากและมีน้ำหนักที่มากได้เพราะจำเป็นที่ต้องสต็อคของ แต่ถ้าหากเป็นออฟฟิศสำนักงานที่จำเป็นต้องใช้ ชั้นวางของอเนกประสงค์ ก็สามารถเลือกขนาดชั้นวางที่ไม่จำเป็นต้องรองรับน้ำหนักที่มากเพราะส่วนใหญ่ก็มีไว้เพื่อจัดเก็บเอกสารต่างๆ ประเมินพื้นที่ของการจัดเก็บ : หากมีพื้นที่ในการจัดเก็บที่น้อยเราก็ควรเลือกซื้อชั้นวางที่ถูกออกแบบให้มีชั้นวางสินค้าที่สูงเพื่อประหยัดพื้นที่ในแนวราบ การเลือกชั้นวางสินค้าที่เหมาะสมนอกจากจะช่วยประหยัดพื้นที่ใช้สอยแล้วยังสามารถช่วยประหยัดงบในการเช่าพื้นที่จัดเก็บของเพิ่มเติมได้อีกด้วย ประหยัดค่าขนส่งสินค้า : การสต็อคของเป็นเรื่องที่สำคัญหากเราต้องการประหยัดค่าขนส่ง เพราะแน่นอนว่าการขนส่งหนึ่งครั้งเราสามารถประหยัดงบได้มากกว่าขนส่งหลายครั้ง แต่ทั้งนี้หากเราต้องการซื้อของจำนวนมากๆ ในราคาที่ถูกลงเรื่องสำคัญต่อมาก็คือการหาพื้นที่ในการจัดเก็บนั่นเอง ดังนั้นควรเลือกชั้นวางให้เหมาะสมกับหน้างานมากที่สุด ป้องกันปัญหาสินค้าขาดแคลนไม่พอจำหน่าย : อย่างที่ทราบกันดีบางสินค้าเราจำเป็นต้องสต็อคในจำนวนที่มากเพื่อป้องกันการสูญเสียโอกาสในการขายหากสินค้านั้นขาดตลาด ดังนั้นการวางแผนพื้นที่จัดเก็บจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น ที่สำคัญก็ควรมีการวางแผนในเรื่องการเลือกประเภทชั้นวางสินค้าให้เหมาะสมและตอบโจทย์ต่อการใช้งานให้ได้มากที่สุด JenStore by Jenbunjerd ให้บริการจัดจำหน่าย ชั้นวางของเหล็ก ชั้นวางของอเนกประสงค์ ชั้นวางสินค้า ชั้นวางอุตสาหกรรม อุปกรณ์จัดเก็บสินค้าสำหรับคลังสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม และธุรกิจร้านค้า คุณภาพมาตรฐาน แข็งแรงทนทาน พร้อมบริการให้คำปรึกษาแนะนำในการเลือกใช้งานและติดตั้งชั้นวางประเภทต่างๆให้เหมาะสมและตอบโจทย์รูปแบบการใช้งานโดยทีมขายมืออาชีพจากเจนสโตร์ หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สายด่วนสั่งซื้อสินค้า บริการจัดหาสินค้า สินค้าสั่งทำ เลขหมายโทรศัพท์ 02 096 9999 (200 คู่สาย) บริการหลังการขาย 02 096 9898 ต่อ 3102-3103 หรือ Line @jenstore ในเวลาทำการ 08.30 - 17.30 น. ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ : Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
ออฟฟิศซินโดรมไม่ได้แอ้ม เลือกเก้าอี้สำนักงานตามหลักการยศาสตร์

ออฟฟิศซินโดรมไม่ได้แอ้ม เลือกเก้าอี้สำนักงานตามหลักการยศาสตร์หลักการที่ใช้ในการเลือกโต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานอย่างถูกต้องที่ต้องคำนึงถึงอาการปวดเมื่อยมักเป็นภัยเงียบที่นำมาสู่โรคที่เราไม่อาจคาดคิดโดยเฉพาะอาชีพที่นั่งทำงานบนโต๊ะทำงานอยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลาอย่างอาชีพพนักงานออฟฟิศ โดยส่วนใหญ่พนักงานออฟฟิศจะมีโรคฮิตคล้ายๆกับชื่อของอาชีพนั้นก็คือ โรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) ซึ่งเกิดจากการนั่งทำงานที่โต๊ะทำงานโดยไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบทเป็นเวลานานและเกิดซ้ำๆ หรือเกิดจากอุปกรณ์การทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น ความสูงของโต๊ะทำงาน หรือเก้าอี้สำนักงานไม่รองรับสรีระในการนั่ง จนทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึงและอักเสบ จนมีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย เช่น คอ บ่า ไหล่ หรือสะบัก เป็นอาการปวดที่เกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง ไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน อาการปวดมีตั้งแต่ในระดับน้อยจนถึงขั้นรุนแรงจนเกิดการทรมาณในการปวด และอาจตามมาด้วยอาการเย็น วูบ เหงื่อออก อาการชา บริเวณแขนและมือซึ่งเกิดจากอาการของระบบประสาทอัตโนมัติ และอาการทางระบบประสาทที่ถูกกดทับ ซึ่งหากปล่อยไว้อาจตามมาด้วยโรคร้ายที่ยากต่อการรักษาการยศาสตร์ (Ergonomics) ศาสตร์ที่ช่วยให้ห่างไกลจากโรคออฟฟิศซินโดรมการยศาสตร์ คือ ศาสตร์ที่ปรับเปลี่ยนสภาพการทำงานให้เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงาน โดยหลักการของการยศาสตร์จะศึกษาเกี่ยวกับการทำงานที่มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้ทำงานกับสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น ความสูงต่ำของโต๊ะทำงาน หรือเก้าอี้สำนักงาน ขนาดของโต๊ะทำงานมีขนาดที่เหมาะสมในการทำงานมากน้อยแค่ไหน ท่านั่งในการทำงานที่ถูกต้อง หรืออุณหภูมิในที่ทำงานมีความเหมาะสมรึเปล่า ดังนั้นเก้าอี้ ergonomic หรือ เก้าอี้ เพื่อ สุขภาพ ergonomic คือ เก้าอี้ที่ออกแบบตามหลัก การยศาสตร์ เพื่อให้ใช้งานแล้วไม่เกิดอาการออฟฟิตซินโดรม นอกจากนี้การยศาสตร์ยังออกแบบสภาพการทำงานให้มีความสอดคล้องกับสรีรวิทยาเพื่อให้รองรับกับหน้าที่การทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ซึ่งจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากที่สุดโดยปราศจากการเจ็บป่วย ดังนั้น วิธีการป้องกันและการรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมที่ดีที่สุดคือการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ นั้นคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำงาน และสภาพการทำงานโดยเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมในการทำงาน โดยเฉพาะโต๊ะทำงาน และ เก้าอี้สำนักงาน เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดโรคออฟฟิศซินโดรมมากที่สุดหลักในการเลือกโต๊ะทำงาน และเก้าอี้สำนักงานให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ในการเลือกโต๊ะทำงานหรือเลือกเก้าอี้สำนักงานมาใช้ส่วนบุคคลคงไม่ใช่เรื่องยากเพราะสามารถทดลองนั่งกับสินค้าจริงได้ทำให้รู้ได้ว่าโต๊ะทำงานหรือเก้าอี้นั่งทำงานตัวไหนเหมาะสมกับเราแต่สำหรับบริษัทที่ต้องเลือกโต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานสำหรับพนักงานคงเป็นเรื่องยากที่จะเลือกได้ถูกต้องตามสรีระของพนักงานทุกคนได้ ดังนั้น แผนกหรือฝ่ายที่ต้องดูแลเรื่องการจัดซื้อโต๊ะทำงานหรือเก้าอี้สำนักงานควรคำนึงถึงการทำงานให้มีความสบายและปลอดภัยมากที่สุดสำหรับผู้ใช้งานโต๊ะทำงานขนาดและความความสูงคือสิ่งที่ห้ามมองข้ามความสูงของโต๊ะทำงานที่เหมาะสม ความสูงของโต๊ะทำงานมีผลต่ออาการปวดในแต่ละจุดถ้าหากโต๊ะทำงานสูงเกินไปสำหรับผู้นั่งจะทำให้ปวดแขน ปวดไหล่ แต่ถ้าหากเลือกโต๊ะทำงานเตี้ยเกินไปสำหรับผู้นั่งจะปวดคอและปวดหลัง แต่โต๊ะทำงานไม่ได้ออกแบบมาเฉพาะบุคคล โดยปกติความสูงของโต๊ะทำงานควรมีความสูงประมาณ 75-80 เซนติเมตร เป็นระยะที่นั่งแล้วเท้ายังวางบนพื้นได้ แต่หากขาลอยสามารถหาแท่นมาวางรองที่เท้าได้ ยิ่งถ้าเป็นแท่นที่สามารถปรับระดับความสูงได้จะช่วยให้สะดวกสบายกับผู้ใช้งานมากขึ้น และข้อศอกสามารถวางทำมุม 90 องศากับโต๊ะทำงานได้ มุมข้อไหล่กางน้อยกว่า 15-20 องศา และยกข้อไหล่น้อยกว่า 25 องศา การที่ข้อศอกวางทำมุมได้น้อยกว่า 100 องศาจะช่วยลดภาระการทำงานต่อเนื่องของกล้ามเนื้อบ่าได้ สำหรับพนักงานที่มีรูปร่างเตี้ยสามารถแก้ไขได้โดยการใช้เก้าอี้สำนักงานที่สามารถปรับความสูงของเก้าอี้ได้ หรือจะใช้เบาะรองนั่งในการแก้ไขปัญหาก็ได้ พื้นที่ใช้สอยบนโต๊ะทำงาน ขนาดโต๊ะทำงานที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับขนาดคอมพิวเตอร์ที่เลือกใช้ซึ่งขนาดของคอมพิวเตอร์เป็นตัวกำหนดความยาวอย่างน้อยที่สุดของโต๊ะทำงาน และหากมีเม้าส์ต้องเผื่อความยาวของโต๊ะเพิ่มอีก 20 เซนติเมตร ส่วนความกว้างของโต๊ะให้อ้างอิงตามระดับสายตา โดยระดับสายตาควรขนานกับพื้น ใช้สายตาก้มมุมต่ำ ไม่ควรก้มคอมองคอมพิวเตอร์ ขอบของหน้าจอของคอมพิวเตอร์ควรอยู่ในระดับสายตาพอดี ระยะที่เหมาะสมในการมองคอมพิวเตอร์อย่างน้อยควร 50 เซนติเมตรเพื่อถนอมสายตา วัสดุที่ใช้ในการ Top บนโต๊ะทำงาน ตามหลักการยศาสตร์ไม่ควรใช้กระจกในการ Top บนโต๊ะทำงานเพราะสามารถสะท้อนแสงรบกวนสายตาสำหรับผู้ใช้งานได้และเม้าส์คอมพิวเตอร์ไม่สามารถใช้งานได้บนพื้นผิวกระจกหรือวัสดุที่มีพื้นผิวมัน และขอบโต๊ะทำงานควรมนเพราะดีต่อข้อมือผู้ใช้งานและยังลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้ โดยปกติการทำงานบนโต๊ะทำงานไม่ควรนั่งทำงานที่ต่อเนื่องกันหลายชั่วโมงควรมีการเปลี่ยนอิริยาบทในการทำงานวันละ 2-3 ชั่วโมง ในปัจจุบันจึงได้มีการออกแบบโต๊ะทำงานที่สามารถปรับระดับความสูงได้ซึ่งมีด้วยกัน 2 แบบคือแบบใช้มือหมุน (Manual) และแบบไฮดรอลิก (Hydraulic) ซึ่งแบบใช้มือหมุนจะไม่ค่อยสะดวกสบายเพราะต้องออกแรงในการใช้มือในการหมุนเพื่อใช้งานแต่จะมีราคาที่ถูกกว่าแบบไฮดรอลิกเก้าอี้สำนักงานที่ดีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานสามารถปรับระดับความสูงได้ เก้าอี้สำนักงานที่ดีควรปรับความสูงของเก้าอี้ได้ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าพนักงานที่จะมาใช้งานเก้าอี้สำนักงานจะมีความสูงมากน้อยแค่ไหน และโต๊ะทำงานจะมีความสูงที่รองรับกับเก้าอี้สำนักงานไหมดังนั้นการเลือกเก้าอี้สำนักงานที่สามารถปรับความสูงได้จะช่วยให้รองรับสรีระของพนักงานได้มากขึ้น ช่วยให้ไม่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ขณะที่นั่งทำงาน หรือถ้าเก้าอี้ไม่สามารถปรับความสูงได้แนะนำให้ใช้เบาะรองนั่งในการเพิ่มความสูง จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคออฟฟิศซินโดรมจากการนั่งทำงานในท่าที่ไม่ถูกต้อง พนักพิงรองคอ โดยเฉพาะพนักพิงรองคอที่สามารถปรับระดับได้จะช่วยให้ศีรษะตั้งตรงในการทำงาน ทำให้ลดความเสี่ยงเกิดอาการปวดของบริเวณคอ บ่า หลัง พนักพิงหลัง จะช่วยพยุงไหล่ รองรับแผ่นหลัง เอว และกระดูกสันหลังส่วนล่าง ซึ่งควรออกแบบมาไม่ให้มีช่องว่างระหว่างแผ่นหลังและเก้าอี้ เพื่อให้ผู้ใช้งานนั่งหลังแนบสนิทกับพนักพิงหลังทำให้หลังไม่แอ่น และไม่ค่อม ดังนั้นความสูงของพนักพิงหลังของเก้าอี้สำนักงานจึงมีความสำคัญมากเพราะหากมีความสูงที่เหมาะสมกับแผ่นหลังจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อหลังผ่อนคลาย ลดการกดทับของหมอนรองกระดูกสันหลัง ทำให้ลดอาการปวดหลังได้ ที่พักแขน มีไว้เพื่อรองรับข้อศอกและแขนท่อนล่าง เพื่อให้ผู้ใช้งานวางข้อศอกและแขนให้อยู่ในระนาบเดียวกันในแนวเส้นตรงตามหลักท่านั่งที่ถูกต้องโดยที่แขนจะอยู่ในระดับความสูงเท่ากันกับโต๊ะเพื่อลดการกดทับบริเวณข้อมือหรือข้อศอกทำให้เกิดอาการชาตามมือได้ แต่เก้าอี้สำนักงานบางรุ่นไม่สามารถปรับได้อาจจะต้องปรับความสูงของเก้าอี้แทนเพื่อให้ที่พักแขนมีระดับความสูงเท่ากับโต๊ะ เบาะรองนั่ง ที่ดีควรออกแบบมาให้กระจายน้ำหนักได้ดี น้ำหนักไม่ควรกดลงที่จุดใดจุดหนึ่ง ช่วยให้ผู้ใช้งานลงน้ำหนักที่กล้ามเนื้อต้นขาหรือก้นทั้งสองข้างได้เท่าๆ กัน และควรนั่งห่างออกมาจากเก้าอี้ประมาณ 6-7 เซนติเมตร เพื่อลดการกดทับบริเวณใต้ข้อพับเข่า ล้อ เก้าอี้สำนักงานที่ดีควรมีความมั่งคงเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจากการใช้งานได้ ล้อเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการรองรับน้ำหนักตัว เก้าอี้สำนักงานควรมีล้ออย่างน้อย 5 ล้อเพื่อสร้างความสมดุลของเก้าอี้และเพื่อเพิ่มความมั่นคงในการนั่ง การเลือกซื้อโต๊ะทำงานและเก้าอี้สำนักงานที่ถูกต้องตามหลังการยศาสตร์ และสรีรศาสตร์จะช่วยให้การทำงานของพนักงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยทำให้จิตใจไม่มีความเครียดที่อาจเกิดจากการเจ็บปวดของร่างกาย ซึ่งหากเกิดอาการเจ็บปวดอาจทำให้ให้มีผลกระทบต่อการทำงาน และหากปล่อยให้ปวดเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคนิ้วล็อค โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท และบางครั้งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ อาจจะเลือกใช้เก้าอี้เพื่อสุขภาพ ergonomic ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี เพราะตัวเก้าอี้จะถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับการนั่งทำงานJenStore by Jenbunjerd ศูนย์รวมเฟอร์นิเจอร์สำนักงานแบบครบวงจร เช่น โต๊ะทำงาน เก้าอี้สำนักงาน ตู้เก็บเอกสารเหล็ก ตู้เอกสาร ชั้นวางหนังสือ ตู้เก็บของ ตู้ล็อกเกอร์เหล็ก เพื่อช่วยให้คุณสามารถเลือกใช้งานได้อย่างตรงตามความต้องการ พร้อมคัดสรรคุณภาพและความทนทานของสินค้าตามมาตรฐานสากล พร้อมการรับประกันคุณภาพสินค้า เรายินดีให้คำปรึกษาการเลือกใช้งานสินค้าเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน และรับจัดหาสินค้าให้ตรงตามรูปแบบการใช้งานที่ต้องการ มีทีมบริการหลังการขายแบบครบวงจรโดยทีมขายผู้เชี่ยวชาญ ให้เจนสโตร์ช่วยให้ทุกการจัดซื้อของคุณเป็นเรื่องง่ายดายติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ :Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
รู้จักเจนสโตร์ผู้จำหน่ายและบริการจัดหาสินค้าอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมแบบครบวงจร

รู้จักเจนสโตร์ผู้จำหน่ายและบริการจัดหาสินค้าอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมแบบครบวงจร เชื่อมั่นและอุ่นใจในการรับประกันสินค้าแบบมืออาชีพกับเจนสโตร์ ในโรงงานอุตสาหกรรมมีอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการปฏิบัติงานมากมายหลายประเภท เช่น อุปกรณ์ความปลอดภัย รองเท้าเซฟตี้ ชุดป้องกันสารเคมี ชุด PPE หน้ากากกันสารเคมี หมวกนิรภัย อุปกรณ์เครื่องมือช่าง บันไดอลูมิเนียม ตู้เก็บเครื่องมือช่าง อุปกรณ์สำหรับหีบห่อสินค้า โต๊ะแพ็คสินค้า ซึ่งจะเห็นได้ว่าในหนึ่งอุตสาหกรรมต้องใช้อุปกรณ์ในการผลิตสินค้าหลายประเภท และบางประเภทของอุปกรณ์ยังเป็นอุปกรณ์เฉพาะที่ถูกใช้ในบางอุตสาหกรรมเท่านั้น ดังนั้น การจะสรรหาอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆที่จะใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมจึงต้องคำนึงถึงมาตรฐานและควรคำนึงถึงความน่าเชื่อของบริษัทที่จะมาดูแลในด้านการผลิตหรือบริการจัดหาสินค้า ควรเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในด้านอุปกรณ์และเครื่องมือในโรงงานอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ นอกจากนี้ควรมีการรับประกันคุณภาพของสินค้าเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า JenStore by Jenbunjerd ผู้นำในการผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดเก็บ ยก ย้าย โดยสินค้าของเจนสโตร์ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์กรหรือหน่วยงานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และด้วยประสบการณ์อันยาวนานมากกว่า 3 ทศวรรษจึงการันตีได้ถึงความน่าเชื่อถือ และคุณภาพของสินค้า รวมไปถึงการบริการหลังการขายและการรับประกันสินค้าอย่างมืออาชีพ อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมที่เจนสโตร์เป็นผู้จำหน่าย บริการจัดหาสินค้า และรับงานสั่งทำ อุปกรณ์ความปลอดภัย ในโรงงานอุตสาหกรรมถือว่าความปลอดภัยในการทำงานเป็นอันดับแรกที่ต้องคำนึงถึงเพราะในโรงงานอุตสาหกรรมมีหลักการทำงานที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง “Safety First” ตามพรบ. ความปลอดภัยอาชีวอนามัยด้านการปฏิบัติงาน ดังนั้นอุปกรณ์ความปลอดภัยจึงมีความสำคัญมากเพราะหากละเลยไปในทางกฎหมายจะมีความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา ส่วนในด้านความปลอดภัยมีหน้าที่ในการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดจากการทำงานของผู้ปฏิบัติงานไม่ว่าจะทำงานร่วมกับเครื่องจักร สารเคมี สารปนเปื้อนต่างๆ อุณหภูมิที่เย็นมาก-ร้อนมาก หรือในพื้นที่สูง ซึ่งถ้าหากละเลยการป้องกันอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ อุปกรณ์ความปลอดภัยที่นิยมใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ชุดป้องกันฝุ่นและสารเคมี ถุงมือยาง หน้ากาก รองเท้าบูทนิรภัย ตู้เก็บสารอันตราย เสื้อห้องเย็น เอี๊ยมอลูมิไนซ์กันความร้อน เข็มขัดพยุงหลัง เข็มขัดนิรภัย แว่นนิรภัย เป็นต้น เครื่องมือช่าง เป็นอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการปฏิบัติงานในโรงงานอุตสาหกรรม รวมไปถึงการซ่อมบำรุงเพราะในโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆจะทำงานเกือบ 24 ชั่วโมง จึงต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือช่างจัดเตรียมไว้เสมอเพื่อให้พร้อมกับการใช้งาน และเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดเก็บเครื่องมือ เช่น ตู้เครื่องมือตั้งพื้น หรือแบบเคลื่อนที่ กล่องเครื่องมือ โต๊ะช่าง เก้าอี้ช่าง เครื่องปั้มลม เกจวัดลม ชุดแผ่นกั้นลิ้นชัก บันได กระเช้าขึ้นที่สูง แผงไฟแม่เหล็ก ไฟฉายปากกา รางปลั๊กไฟ อุปกรณ์จัดเก็บสินค้า ขึ้นชื่อว่าโรงงานอุตสาหกรรมย่อมมีสินค้าหลากหลายรูปแบบอยู่ในสต๊อกซึ่งหากจัดเก็บสินค้าไม่ดีพออาจทำให้เกิดการตกหล่น หรือหาสินค้าไม่เจอ อุปกรณ์จัดเก็บสินค้าจึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการที่ช่วยจัดเก็บสินค้า แบ่งหมวดหมู่สินค้า ทำให้สินค้ามีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และยังสามารถเพิ่มพื้นที่การใช้งานในคลังสินค้าได้ ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ดีส่งผลให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อุปกรณ์ที่มักนำมาใช้ในการจัดเก็บสินค้า เช่น ชั้นวางสินค้า ลังและกล่องพลาสติก พาเลท ถังกลมและภาชนะสำหรับบรรจุของเหลว อุปกรณ์เคลื่อนย้าย เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าหรืออุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน เป็นการบริหารจัดการในด้านโลจิสติกส์ภายในคลังทำให้การปฏิบัติงานมีความรวดเร็ว ประหยัดเวลา และปลอดภัยต่อผู้ที่ต้องทำงานในการขนย้ายสินค้า ที่สำคัญช่วยลดต้นทุนในด้านแรงงานและการขนถ่ายสินค้า อุปกรณ์เคลื่อนย้ายสินค้าที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น รถเข็น 2 ล้อและ รถเข็น 4 ล้อ รถเข็นพับได้ รถยกลากไฟฟ้า รถลากพาเลท รถยกสูง โต๊ะปรับระดับ เครนเคลื่อนที่ สายพานลำเลียงแบบยืดหด อุปกรณ์หีบห่อ การหีบห่อสินค้าทำให้สินค้าไม่เกิดเสียหายในการขนย้ายหรือเคลื่อนย้าย และยังสามารถช่วยแบ่งประเภทสินค้าได้โดยการแพคสินค้าประเภทเดียวกันให้อยู่ด้วยกันเมื่อขนย้ายจะไม่มีการตกค้างของสินค้า อุปกรณ์ในการหีบห่อในโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะเน้นในการแพคสินค้าที่มีขนาดใหญ่หรือจำนวนมาก และมีบางอุปกรณ์ที่ออกแบบตามหลักการยศาสตร์ ช่วยให้งานบรรจุสินค้าง่าย สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น โต๊ะแพคสินค้า พลาสติกกันกระแทก โฟมตัวหนอน เครื่องเป่าถุงลมกันกระแทก ฟิมล์ยืด แผ่นโฟม เครื่องเย็บฝากล่อง กิ๊บเหล็กรัดสาย ซีลล็อค อุปกรณ์ในการทำความสะอาด ความสะอาดในโรงงานอุตสากรรมเป็นระบบและข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้ถูกต้องตามสุขอนามัย ปลอดภัยสำหรับผู้ปฏิบัติงาน โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมด้านอาหารที่ต้องปฏิบัติตามระบบ GMP เพื่อผลิตอาหารให้ได้ตามมาตรฐานสากล ดังนั้นอุปกรณ์ในการทำความสะอาดจึงมีความหลากหลายเพื่อให้รองรับการทำความสะอาดในทุกประเภท เช่น เครื่องดูดฝุ่นน้ำ-แห้ง เครื่องขัดพื้น เครื่องดูดทำความสะอาด รถเข็นทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเช่นทำความสะอาดพื้นและเคลือบเงา ผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำ ล้างจาน อุปกรณ์สุขอนามัย และถังขยะ-ถุงขยะ ลูกล้ออุตสาหกรรม ลูกล้อส่วนใหญ่จะใช้ติดกับรถเข็นเพื่อใช้ในการขนย้ายสินค้าเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว หลายคนอาจคิดว่าใช้ลูกล้อแบบไหนก็คงสามารถใช้งานด้วยกันได้ แต่ในโรงงานอุตสาหกรรมสินค้าส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่ น้ำหนักเยอะ และมีจำนวนมาก ดังนั้นลูกล้อที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมจะต้องมีความทนทาน แข็งแรง และรับน้ำหนักมากๆได้ ลูกล้อรถเข็นมีการใช้งานที่แตกต่างกันไปตามลักษณะและวัสดุของลูกล้อ เช่น แป้นล้อรถเข็นจะมีทั้งแบบ แป้นเป็น แป้นเกลียว หรือแป้นตาย วัสดุที่ใช้ในการทำแป้นที่แตกต่างกันก็มีลักษณะการใช้งานที่ต่างกันเช่นทำจากแตนเลสจะทนต่อการกัดกร่อนของสนิมเหมาะสำหรับใช้งานบนพื้นเปียก หรือบริเวณนอกอาคาร แบบชุบซิงค์ เหมาะสำหรับใช้งานในอาคาร และงานอเนกประสงค์ และวัสดุที่ใช้ทำล้อ เช่นล้อยางอีลาสติก มีคุณสมบัติ ยืดหยุ่น รับน้ำหนักได้มาก ไม่ทิ้งรอยไว้กับพื้น ทนต่อการสึกหรอได้ปานกลางล้อล้อยางสังเคราะห์ มีคุณสมบัติ ไม่มีเสียงเวลาใช้งาน แต่รับน้ำหนักได้น้อย เหมาะกับพื้นไม้ พื้นเรียบ ทนต่อการกระแทกได้เป็นอย่างดีล้อยางไนล่อน มีความแข็งเหนียว กันน้ำได้ดี รับน้ำหนักได้มาก แต่จะมีเสียงดังเวลาใช้งานและทนการสึกหรอได้เป็นอย่างดี การรับประกับสินค้าแบบมืออาชีพของเจนสโตร์ JenStore by Jenbunjerd มีบริการรับประกันอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม แต่การรับประกันจะแตกต่างกันออกไปตามประเภทของอุปกรณ์ แต่เจนสโตร์ก็มีหลักการพื้นฐานสำหรับการรับประกันสินค้าเพื่อให้บริษัทคู่ค้าทำความเข้าใจในนโยบายการรับประกันของบริษัทฯ และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อบริษัทคู่ค้าถึงการบริการหลังการขายแบบมืออาชีพของเจนสโตร์ เงื่อนไขการรับประกันและการรับคืนสินค้า หากลูกค้าได้รับสินค้าที่ไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ หรือมีการจัดส่งสินค้าผิด สามารถแจ้งบริษัทฯ ได้ทุกช่องทางในการติดต่อ โดยต้องติดต่อภายใน 5 วันทำการ นับจากวันที่ลูกค้าได้รับสินค้า โดยที่บรรจุภัณฑ์ของสินค้าจะต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่มีร่องรอยการใช้งาน บริษัทฯ จะมีกระบวนการตรวจสอบสินค้าตามรายละเอียดที่ลูกค้าร้องเรียน หากสินค้ามีความเสียหายหรือส่งสินค้าผิดตามที่ลูกค้าแจ้ง บริษัทฯยินดีรับเปลี่ยนสินค้าหรือคืนเงินให้กับลูกค้า การพิจารณารับเปลี่ยนสินค้าหรือคืนเงินของสงวนสิทธิ์ให้การตัดสินบริษัทฯ ถือเป็นที่สิ้นสุด สินค้าแต่ละประเภทมีการรับประกันสินค้าที่แตกต่างกันโดยลูกค้าสามารถดูสัญลักษณ์การรับประกันสินค้าได้ที่เว็บไซต์ หรือสามารถติดต่อสอบถามได้ทุกช่องทางการติดต่อ สินค้าประเภทสั่งผลิตโดยเฉพาะ หรือบริษัทฯ จัดหาให้ลูกค้าบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการรับคืนสินค้าในทุกกรณี บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ไม่รับคืนสินค้าบางประเภท เช่น กลุ่มเครื่องมือวัด สเปรย์เคมีภัณฑ์ กาว และกลุ่มสินค้าที่มีสัญลักษณ์ No Return บริษัทฯ ไม่รับคืนสินค้า หรือเปลี่ยนสินค้าที่สั่งซื้อไปแล้ว อันเนื่องมาจากความผิดพลาดในการสั่งซื้อของลูกค้าทุกกรณี หรือเกิดจากความไม่พึงพอใจในสินค้า โดยที่สินค้าไม่ได้มีความผิดปกติหรือเสียหาย บริษัทฯ ไม่รับคืนสินค้าหรือเปลี่ยนสินค้าที่ไม่อยู่ในระยะเวลารับประกัน JenStore by Jenbunjerd พร้อมให้คำปรึกษาการเลือกซื้อสินค้าที่เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจคุณ รับจัดหาสินค้าให้ตรงตามความต้องการของธุรกิจทุกประเภทด้วยบริการที่ครบวงจรและสินค้าให้เลือกหลากหลายกว่า 10,000 รายการ มีบริการหลังการขายโดยทีมขายผู้เชี่ยวชาญจากเจนสโตร์ที่มาประสบการณ์ในวงการ จัดเก็บ ยก ย้าย ให้เจนสโตร์เป็นผู้ช่วยคุณให้ทุกการจัดซื้อเป็นเรื่องง่าย ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ : Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
แนะนำเครื่องวัดอุณหภูมิแบบไม่สัมผัส แบบไหนบ้าง ใช้งานอย่างไร

แนะนำเครื่องวัดอุณหภูมิแบบไม่สัมผัส แบบไหนบ้าง ใช้งานอย่างไร ทำความรู้จักกับเครื่องวัดอุณหภูมิแบบไม่สัมผัสประเภทต่าง ๆ เครื่องวัดอุณหภูมิ (Thermometer) เป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการช่วยวัดระดับความร้อน ความเย็น หรือระดับอุณหภูมิที่พื้นผิวของวัตถุหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการวัดอุณหภูมิร่างกาย การวัดอุณหภูมิภายในห้องพัก อาคาร หรือท่อส่งต่าง ๆ ตลอดจนการวัดอุณหภูมิของอาหารและเครื่องดื่ม และการวัดอุณหภูมิบนเตาย่างหรือภายในเตาอบขณะที่กำลังประกอบอาหาร เป็นต้น และด้วยความต้องการในการนำเอาเครื่องวัดอุณหภูมิมาใช้งานเพื่อการวัดอุณหภูมิในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละอุตสาหกรรมนี้เอง ส่งผลให้เครื่องวัดอุณหภูมิ จึงเป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบและผลิตขึ้นมาในรูปแบบที่หลากหลายเพื่อให้เครื่องวัดอุณหภูมิแต่ละประเภทสามารถตอบโจทย์ต่อวัตถุประสงค์ในการนำมาใช้งานที่แตกต่างกันออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นแล้วในวันนี้ JenStore by Jenbunjerd จึงอยากจะขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเครื่องวัดอุณหภูมิดิจิตอลแบบไม่สัมผัสประเภทต่าง ๆ ที่ปรากฏการนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนี้ ลองมาดูไปพร้อม ๆ กันเลยว่า เครื่องวัดอุณหภูมิเหล่านี้จะมีวิธีการใช้งานอย่างไร? และเหมาะสำหรับการนำมาใช้งานในรูปแบบไหนบ้าง? เพื่อที่คุณจะได้สามารถทำการเลือกซื้อเครื่องวัดอุณหภูมิประเภทต่าง ๆ มาใช้งานได้อย่างตรงตามความต้องการมากที่สุด เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด (Infrared Thermometer) แบบเฉพาะจุด หนึ่งในรูปแบบของเครื่องวัดอุณหภูมิที่เราทุกคนต่างก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในปัจจุบันนี้คงจะหนีไม่พ้น เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด (Infrared Thermometer) แบบเฉพาะจุด หรือเครื่องวัดอุณหภูมิที่เราสามารถเอามือไปจ่อเพื่อวัดอุณหภูมิ และเครื่องวัดอุณหภูมิแบบยิงหน้าผาก ซึ่งเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่ปรากฏการนำมาใช้งานในหลากหลายสถานที่ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร โรงแรม โรงเรียน หรือโรงพยาบาล เพื่อประโยชน์ในการช่วยตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายและการช่วยคัดกรองการติดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นแต่อย่างไรก็ตามเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดแบบเฉพาะจุดก็ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่การนำมาใช้วัดอุณหภูมิร่างกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เนื่องจากด้วยระบบการทำงานในการวัดอุณหภูมิแบบไม่สัมผัสโดยการประมาณค่าของอุณหภูมิจากรังสีความร้อนที่แผ่ออกมาจากวัตถุที่กำลังวัดนั้น ส่งผลให้เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดแบบเฉพาะจุดจึงเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่ดีที่สุดประเภทหนึ่ง ที่สามารถนำมาใช้งานเพื่อประโยชน์ในการช่วยวัดอุณหภูมิที่พื้นผิวของวัตถุต่าง ๆ ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งที่อุณหภูมิสูงและต่ำได้อย่างแม่นยำด้วยผลลัพธ์ที่คลาดเคลื่อนเพียงแค่ประมาณ ±2 องศาเซลเซียสเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการวัดอุณหภูมิความร้อนของท่อไอเสียหรือเตาหลอมในอุตสาหกรรมยานยนต์ ตลอดจนการวัดอุณหภูมิในระบบปรับอากาศ การวัดอุณหภูมิของเตาอบในอุตสาหกรรมอาหาร และการวัดระดับความสุกของอาหารบนถาดอาหารหรือเตาย่าง เป็นต้น จุดเด่นของเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดแบบเฉพาะจุด เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดแบบเฉพาะจุดมีให้เลือกใช้งานหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิแบบตั้งพื้นที่มาพร้อมด้วยระบบจ่ายสเปรย์แอลกอฮอล์เพื่อการใช้งานได้อย่างตอบโจทย์ต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบันนี้ หรือเครื่องวัดอุณหภูมิแบบปืนที่มีขนาดเล็ก กะทัดรัด สามารถพกพาไปใช้งานได้อย่างสะดวกและประหยัดพื้นที่ เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดแบบเฉพาะจุดสามารถทำการวัดอุณหภูมิได้จากระยะไกล หรือวัดอุณหภูมิจากวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดแบบเฉพาะจุดสามารถนำมาใช้วัดอุณหภูมิและความสุกของอาหาร อย่างเช่น เนื้อ ไก่ ปลา ตลอดจนพุดดิ้ง และซุป ได้โดยที่ไม่ต้องทำการเจาะลงไปบนพื้นผิวของอาหารจนอาจทำให้อาหารดูไม่สวยงามและไม่น่ารับประทาน เหมือนเช่นการใช้งานเครื่องวัดอุณหภูมิแบบโพรบในการวัดอุณหภูมิ กล้องถ่ายภาพความร้อน (Thermal Imaging Camera) กล้องถ่ายภาพความร้อน (Thermal Imaging Camera) เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของเครื่องวัดอุณหภูมิแบบไม่สัมผัสและไม่ทำลายวัตถุ ที่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานเพื่อการช่วยตรวจวัดอุณหภูมิ เพื่อผลประโยชน์ในทางการแพทย์และผลประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหลักการทำงานของกล้องถ่ายภาพความร้อนนั้นจะมีความใกล้เคียงกันกับเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดเป็นอย่างมาก เนื่องจากอุปกรณ์ทั้ง 2 ประเภทนี้อาศัยหลักการทำงานในการตรวจจับรังสีอินฟราเรดหรือรังสีความร้อนที่สะท้อนออกมาจากพื้นผิวของวัตถุเช่นเดียวกัน แต่สำหรับในส่วนของการแสดงผลนั้น เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดจะสามารถแสดงผลการวัดอุณหภูมิออกมาได้เฉพาะในรูปแบบตัวเลขเท่านั้น ซึ่งจะแตกต่างไปจากกล้องถ่ายภาพความร้อนที่สามารถแสดงผลลัพธ์ออกมาได้มากถึง 3 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของตัวเลข สี หรือกราฟ เพราะฉะนั้นแล้วกล้องถ่ายภาพความร้อนจึงเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการนำมาใช้งานเพื่อการช่วยวัดอุณหภูมิได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการนำกล้องถ่ายภาพความร้อนมาติดตั้งภายในอาคาร โรงพยาบาล หรือสนามบินที่มีผู้คนเดินทางเข้า-ออกอย่างพลุกพล่านเพื่อการช่วยตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้คนที่เข้ามาใช้บริการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว รวมไปถึงการนำเครื่องวัดอุณหภูมิในรูปแบบกล้องถ่ายภาพความร้อนมาใช้งานเพื่อการช่วยตรวจสอบตำแหน่งของสายไฟ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม รวมถึงวัตถุต่าง ๆ ที่เกิดความร้อน ตลอดจนการใช้เครื่องวัดอุณหภูมิแบบกล้องถ่ายภาพความร้อนในการวัดอุณหภูมิและความร้อนในพื้นที่ภาคสนามหรือพื้นที่ภายในตัวอาคารที่ผู้ปฏิบัติงานไม่สามารถเข้าถึงได้ หรือพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงมาก ๆ จนมีความอันตรายต่อการเข้าไปวัดอุณหภูมิ เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานทุกคนได้มากยิ่งขึ้น จุดเด่นของเครื่องวัดอุณหภูมิแบบกล้องถ่ายภาพความร้อน เครื่องวัดอุณหภูมิแบบกล้องถ่ายภาพความร้อนสามารถนำเสนอผลลัพธ์ที่ได้จากการวัดอุณหภูมิออกมาได้มากถึง 3 รูปแบบ คือ แบบตัวเลข สี และกราฟ จึงทำให้เหมาะสำหรับการนำมาใช้งานได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม อีกทั้งการแสดงผลในรูปแบบของสียังช่วยผู้ใช้งานสามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของอุณหภูมิได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เครื่องวัดอุณหภูมิแบบกล้องถ่ายภาพความร้อนสามารถช่วยตรวจจับอุณหภูมิได้ทั้งในช่วงเวลากลางวันและกลางคืน ตลอดจนสามารถใช้งานได้ในทุกสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นในช่วงเวลาที่มีหมอก ควัน ฝน หรือหิมะ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องวัดอุณหภูมิแบบกล้องถ่ายภาพความร้อนสามารถนำมาใช้งานเพื่อการวัดอุณหภูมิได้ทั้งในระยะใกล้และในระยะไกล อีกทั้งยังสามารถวัดอุณหภูมิของหลาย ๆ วัตถุทั้งที่หยุดนิ่งและกำลังเคลื่อนที่ได้แบบพร้อม ๆ กันได้อย่างแม่นยำ เครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอล (Digital thermometer) เครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอล (Digital thermometer) เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจากเครื่องวัดอุณหภูมิแบบปรอทหรือเครื่องวัดอุณหภูมิประเภทอื่น ๆ ที่ใช้ของเหลวหรือก๊าซในการวัดค่าอุณหภูมิ ความร้อน และความเย็น พร้อมทั้งยังมีการเพิ่มส่วนของหน้าจอแสดงผลแบบดิจิตอลเพื่อการใช้งานที่สะดวก รวดเร็ว และเพื่อประสิทธิภาพในการอ่านค่าอุณหภูมิที่เที่ยงตรงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยสำหรับหลักการทำงานของเครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอลนั้นจะใช้เซนเซอร์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่งที่มีความไวต่อค่าความร้อนสูงมาก ที่เรียกว่า 'เทอร์มิสเตอร์' (Thermistor) ในการช่วยวัดระดับความร้อนหรือความเย็น และแปลงค่าความร้อนและความเย็นออกมาเป็นหน่วยอุณหภูมิที่สามารถอ่านค่าได้บนหน้าจอดิจิตอล เพราะฉะนั้นแล้วเครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอลจึงเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่สามารถตอบสนองต่อการวัดค่าอุณหภูมิได้อย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำสูง จึงทำให้สามารถนำมาใช้งานเพื่อการช่วยวัดอุณหภูมิได้หลากหลายรูปแบบตั้งแต่การวางนำมาแขวนไว้ที่ผนัง หรือนำมาวางตั้งเอาไว้บนโต๊ะในอาคาร สำนักงาน ห้องพัก หรือตู้เย็น เพื่อการช่วยวัดอุณหภูมิแบบไม่สัมผัส ไปจนถึงการนำมาติดตั้งเพื่อการประยุกต์ใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร อุตสาหกรรมเซรามิกส์ โรงงานเคมีหรือโรงงานผลิตสายใยไฟเบอร์ ห้องทดสอบและควบคุมอุณหภูมิ กระบวนการบำบัดน้ำเสีย ตลอดจนเครื่องฉีดพลาสติก และเครื่องบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น จุดเด่นของเครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอล เครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอลเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการนำมาใช้งานเพื่อการช่วยวัดอุณหภูมิแบบทั่วไปได้อย่างรวดเร็ว เที่ยงตรง และแม่นยำกว่าการใช้เครื่องวัดอุณหภูมิแบบปรอท เครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอลมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก อีกทั้งยังมีให้เลือกใช้งานหลากหลายรูปแบบตามความต้องการ และที่สำคัญคือเครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอลมีราคาที่ย่อมเยากว่าเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดแบบเฉพาะจุดและเครื่องวัดอุณหภูมิแบบกล้องถ่ายภาพความร้อน ในเครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอลบางรุ่นมีการเพิ่มฟังก์ชันการวัดค่าความดันบรรยากาศและความชื้นเพิ่มเข้ามาด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอลให้ดีมากยิ่งขึ้น หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่กำลังมองหาเครื่องวัดอุณหภูมิประเภทต่าง ๆ มาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดแบบเฉพาะจุด เครื่องวัดอุณหภูมิแบบกล้องถ่ายภาพความร้อน หรือเครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิตอล เพื่อประโยชน์ในการใช้งานทั้งในทางการแพทย์และประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม JenStore by Jenbunjerd เราคือผู้ช่วยคู่คิด ที่พร้อมช่วยดูแลและให้คำแนะนำในการเลือกซื้อเครื่องวัดอุณหภูมิได้อย่างตอบโจทย์กับทุกความต้องการในการใช้งาน พร้อมด้วยบริการติดตั้งและการดูแลหลังการขายแบบครบวงจร โดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ในวงการอุปกรณ์อุตสาหกรรม เพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของคุณได้อย่างดีและสมบูรณ์แบบมากที่สุด ให้เจนสโตรช่วยให้ทุกการจัดซื้อของคุณเป็นเรื่องง่าย ให้เราทำงานแทนคุณ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ : Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
อุตสาหกรรมสีเขียว การพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจอย่างยั่งยืน

อุตสาหกรรมสีเขียว การพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจอย่างยั่งยืนแบตเตอรี่ Deep Cycle สำหรับรถยกสูงไฟฟ้าและรถยกลากไฟฟ้า นวัตกรรมสีเขียวเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในยามที่โลกต้องเผชิญหน้ากับปัญหาภาวะโลกร้อน (Global Warming) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง (Climate Change) จนนำไปสู่การเกิดปัญหาภัยแล้ง ปะการังฟอกสี น้ำแข็งขั้วโลกละลาย หรือระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมการบริโภค ตลอดจนความต้องการในการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติที่มากเกินความจำเป็นของมนุษย์ทุกคน ส่งผลให้ในปัจจุบันนี้เทรนด์การเลือกบริโภคและเลือกใช้งานผลิตภัณฑ์ที่มีกระบวนการผลิต การขนส่ง ตลอดจนการทำลายที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเทรนด์สำคัญที่ผู้คนทั่วโลกต่างหันมาให้ความสนใจและให้การสนับสนุนกันมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วในฐานะของเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการทุกคน การพัฒนาและผลักดันผลิตภัณฑ์และโรงงานอุตสาหกรรมให้มุ่งไปสู้เป้าหมายในการเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว หรือ Green Industry ไม่ว่าจะเป็นด้วยการปรับปรุงกระบวนการผลิต หรือการเลือกใช้งานเครื่องจักร รถยกสูงไฟฟ้า รถยกลากไฟฟ้า รถลากจูงไฟฟ้า และรถ Order Picker ไฟฟ้า ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในความรับผิดชอบที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณได้รับการยอมรับในฐานะของอุตสาหกรรมที่มีความรับผิดชอบและสามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างยั่งยืน โดยในวันนี้ JenStore by Jenbunjerd จึงอยากขอพาเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการทุกคนไปทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์รถยกสูงไฟฟ้า รถยกลากไฟฟ้า รถลากจูงไฟฟ้า รถ Order Picker ไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ จากเจนสโตร์ ที่จะมาช่วยสนับสนุนการเข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวให้กับธุรกิจได้อย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น แนะนำยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ เพื่อการมุ่งสู่การเป็นอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน 1. รถยกสูงไฟฟ้า หรือรถยกลากไฟฟ้า ประเภทแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-Ion Battery) เป็นหนึ่งในประเภทของแบตเตอรี่ที่เป็นที่รู้จักและปรากฏการนำมาใช้งานร่วมกับรถยกสูงไฟฟ้า รถยกลากไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย เนื่องจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน คือ แบตเตอรี่คุณภาพสูงแห่งโลกอุตสาหกรรมยุคใหม่ ที่เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะของแบตเตอรี่ที่เป็นต้นกำเนิดของพลังสะอาดที่มีความเข้มข้นของพลังงาน เสถียรภาพของพลังงาน ตลอดจนอายุการใช้งานที่มากกว่าแบตเตอรี่ประเภทอื่น ๆ และนอกจากนี้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนยังถือได้ว่าเป็นแบตเตอรี่ที่มีความปลอดภัยสูงมาก เนื่องจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนไม่มีส่วนประกอบของของเหลว กรด หรือตะกั่ว ที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนยังมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดประเภทหนึ่ง ส่งผลให้รถยกสูงไฟฟ้า รถยกลากไฟฟ้า รถลากจูงไฟฟ้า รถ Order Picker ไฟฟ้า ตลอดจนยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ที่มีการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเป็นตัวกลางในการขับเคลื่อนจึงสามารถช่วยลดปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและถ่านหินลงได้ รวมถึงสามารถช่วยลดปริมาณของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงน้ำมันและถ่านหินในเครื่องยนต์สันดาปแบบดั้งเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการช่วยให้ธุรกิจสามารถมุ่งไปสู่เป้าหมายของการเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความรับผิดชอบต่อสังคม (Green Industry) ได้อย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น 2. รถยกสูงไฟฟ้า หรือรถยกลากไฟฟ้า ประเภทแบตเตอรี่ Deep Cycleแบตเตอรี่ Deep Cycle เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของแบตเตอรี่สำหรับรถยกสูงไฟฟ้า รถยกลากไฟฟ้า รถลากจูงไฟฟ้า รถ Order Picker ไฟฟ้า รวมไปถึงยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ที่ได้รับค่านิยมในการนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้นในปัจจุบันนี้ เนื่องด้วยข้อดีของความสามารถในการคายประจุ (Discharge) หรือการจ่ายพลังงานที่มากถึง 45-75% ของพลังงานทั้งหมดที่เก็บสะสมอยู่ในตัวแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นผลมาจากการออกแบบของตัวแบตเตอรี่ Deep Cycle ที่ได้มีการเพิ่มขนาดความหนาของแผ่นตะกั่วให้มากขึ้น และลดพื้นที่สัมผัสระหว่างตะกั่วและสารละลายในแบตเตอรี่ลง จึงทำให้แบตเตอรี่ Deep Cycle มีระยะเวลาในการชาร์จและคายประจุที่ยาวนานมากยิ่งขึ้นและในขณะเดียวกันแบตเตอรี่ Deep Cycle ก็มีการใช้พลังงานที่น้อยลง และมีปริมาณการปลดปล่อยมลพิษที่ลดน้อยลงกว่าแบตเตอรี่ประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะแบตเตอรี่รถยนต์แบบดั้งเดิม จึงทำให้แบตเตอรี่ Deep Cycle ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมด้านการช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อการมุ่งไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวอย่างยั่งยืน ส่งผลให้แบตเตอรี่ Deep Cycle จึงเป็นแบตเตอรี่ที่เหมาะสำหรับการนำมาใช้งานร่วมกับทั้งรถยกสูงไฟฟ้า รถยกลากไฟฟ้า รถลากจูงไฟฟ้า รถ Order Picker ไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ตลอดจนการนำมาใช้งานร่วมกับแผงโซล่าเซลล์ หรือกังหันลม เพื่อประโยชน์ในการช่วยกักเก็บพลังงานสะอาดที่เกิดขึ้นเอาไว้เพื่อการนำมาใช้งานในภายหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ในการเลือกใช้งานรถยกสูงไฟฟ้า หรือรถยกลากไฟฟ้าความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่มากยิ่งขึ้น เนื่องจากการใช้งานรถยกสูงไฟฟ้า รถยกลากไฟฟ้า รถลากจูงไฟฟ้า รถ Order Picker ไฟฟ้า ตลอดจนยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ที่มีการใช้งานแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและแบตเตอรี่ Deep Cycle เป็นแหล่งพลังงาน สามารถช่วยลดปริมาณการเผาไหม้เชื้อเพลิง ซึ่งจะนำไปสู่การช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศ และสามารถช่วยส่งเสริมธุรกิจไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้นมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน การใช้งานแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและแบตเตอรี่ Deep Cycle เป็นแหล่งพลังงานให้กับรถยกสูงไฟฟ้า รถยกลากไฟฟ้า รถลากจูงไฟฟ้า และรถ Order Picker ไฟฟ้า สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานให้กับยานยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลไปสู่การช่วยประหยัดทรัพยากรที่จะนำมาใช้ในการผลิตทั้งแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ได้อย่างยั่งยืนไม่ก่อให้เกิดมลพิษหรือเสียงดังรบกวนในขณะใช้งาน พลังงานที่ได้จากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและแบตเตอรี่ Deep Cycle ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในรูปแบบของพลังงานสะอาดที่ไม่เพียงแต่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบหรือมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของทั้งผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อมแล้วนั้น การใช้งานแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและแบตเตอรี่ Deep Cycle ยังไม่ก่อให้เกิดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์ในระหว่างการใช้งานเหมือนอย่างเช่นการใช้งานน้ำมันเชื้อเพลิงและถ่านหินอีกด้วย หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่กำลังมองหาอุปกรณ์สำหรับยกย้ายสินค้า อย่างเช่น รถยกสูงไฟฟ้า รถยกลากไฟฟ้า รถลากจูงไฟฟ้า รถ Order Picker ไฟฟ้า ตลอดจนยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ มาใช้งานภายในโรงงานหรือคลังสินค้าของคุณ เพื่อการมุ่งไปสู่เป้าหมายของการเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากยิ่งขึ้น JenStore by Jenbunjerd เราคือผู้ช่วยคู่คิด ที่พร้อมช่วยดูแลและให้คำแนะนำในการเลือกซื้ออุปกรณ์สำหรับการจัดเก็บ ยก ย้ายสินค้าทั้งรถยกสูงไฟฟ้า รถยกลากไฟฟ้า รถลากจูงไฟฟ้า และรถ Order Picker ไฟฟ้า ได้อย่างเหมาะสม โดย เจนสโตร์ มีทีมบริการติดตั้งและการดูแลหลังการขายแบบครบวงจรโดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ในวงการอุปกรณ์ “จัด เก็บ ยก ย้าย” ให้คำปรึกษาแนะนำ จัดหาสินและนำเสนอรูปแบบสินค้าได้ตามความต้องการ ช่วยให้งานจัดซื้อของคุณเป็นเรื่องง่ายดาย ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ :Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เครื่องวัดอุณหภูมิมีกี่ประเภท แต่ละประเภทมีหลักการทํางานอย่างไร

เครื่องวัดอุณหภูมิมีกี่ประเภท แต่ละประเภทมีหลักการทํางานอย่างไรเรื่องเล็กๆ ที่ไม่เล็กของเครื่องวัดอุณหภูมิ ความสำคัญที่ในทุกอุตสาหกรรมไม่ควรมองข้าม หนึ่งในอุปกรณ์ที่ถือได้ว่าในทุกอุตสาหกรรมต้องมีคือเครื่องวัดอุณหภูมิเพราะเครื่องวัดอุณหภูมิเหมือนเครื่องที่ใช้ตรวจจับหาความผิดปกติตั้งแต่คนจนถึงเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมด้วยความที่เครื่องวัดอุณหภูมิสามารถใช้งานได้อย่างหลากหลายจนบางครั้งเราอาจจะเกิดความสับสนในหน้าตาของเครื่องวัดอุณหภูมิ และคุณสมบัติการใช้งานเพราะบางครั้งหน้าตาเหมือนกันมากแต่การใช้งานกลับแตกต่างกัน หรือมีหน้าตาที่พิเศษจนไม่แน่ใจว่าจะต้องใช้งานอย่างไร และต้องใช้กับงานประเภทไหนถึงจะเหมาะสม เพื่อให้การใช้งานเครื่องวัดอุณหภูมิให้มีประสิทธิภาพ เราควรทำความรู้จักกับประเภท คุณสมบัติ และหลักการการทำงานของเครื่องวัดอุณหภูมิเพื่อที่เราจะได้เลือกใช้งานเครื่องวัดอุณหภูมิได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน เครื่องวัดอุณหภูมิที่ใช้งานทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท 1.เครื่องวัดอุณหภูมิสำหรับใช้ในการแพทย์ 1.1 เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่ออกแบบมาเพื่อใช้วัด อุณหภูมิในร่างกายของมนุษย์โดยเฉพาะ เพื่อตรวจสอบหาความผิดปกติของร่างกาย ดังนั้นจึงต้องมีความแม่นยำในการวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดทางการแพทย์จะมีความคลาดเคลื่อนในการวัดอุณหภูมิอยู่ที่ ± 0.3°C และมีช่วงอุณหภูมิในการวัดอยู่ที่ 32 °C ถึง 42.5 °C โดยสามารถวัดอุณหูมิได้ในระยะไกลและไม่ต้องสัมผัสร่างกายทำให้ลดการเลี่ยงต่อการติดเชื้อโรค โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดเป็นที่นิยมใช้กันอย่างมาก ดังนั้นมาตรฐานในการเลือกใช้จึงสำคัญมากควรเลือกซื้อเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดที่ได้รับการรับรองจาก อย. เพื่อให้มั่นใจว่าอุณหภูมิที่ได้มีความถูกต้องและมีประสิทธิภาพต่อการนำไปใช้งานหลักการทำงานของเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดทางการแพทย์ รังสีอินฟราเรดเกิดจากการแผ่รังสีของวัตถุสีดำเมื่อมีอุณหภูมิสูงกว่าศูนย์สัมบูรณ์ จะมีโมเลกุลอยู่ข้างในเคลื่อนที่ไปมายิ่งเคลื่อนที่เร็วมากขึ้นเท่าไรอุณหภูมิจะสูงขึ้นตามความเร็ว ในขณะที่โมเลกุลเคลื่อนที่จะเกิดรังสีอินฟราเรดซึ่งเป็นรังสีแม่เหล็กชนิดหนึ่ง เครื่องวัดอุณหภูมิจะตรวจจับรังสีและวัดอุณหภูมิได้โดยผ่านเลนส์ที่ทำหน้าที่ในการตรวจจับรังสีอินฟราเรดบนพื้นผิวของวัตถุ และส่งพลังงานไปที่เครื่องตรวจจับพลังงานที่เรียกว่า เทอร์โมไพล์ ซึ่งจะดูดซับรังสีอินฟราเรดและเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อแปลงค่าเป็นหน่วยของอุณหภูมิหลังการชดเชยอุณหภูมิจากสิ่งแวดล้อมแล้ว โดยเมื่อใช้เครื่องวัดอุณหภูมิวัดที่ผิวหนังของมนุษย์หากมีอุณหภูมิสูงกว่าที่กำหนดไว้จะมีเสียงร้องเตือนและมีแสงกระพริบแสดงขึ้นมาทันที 1.2 ปรอทวัดไข้ เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิอีกประเภทซึ่งในอดีตจะใช้ของเหลวที่เรียกว่า “ ปรอท” ในการบอกอุณหภูมิแต่เนื่องจากปรอทเป็นสารที่มีอันตรายต่อร่างกายหากปรอทวัดไข้แบบใช้ปรอทในการบอกอุณหภูมิแตกอาจทำให้สารปรอทที่เป็นของเหลวที่บรรจุอยู่ด้านในไหลออกมาได้ปัจจุบันจึงนิยมใช้ปรอทวัดไข้แบบดิจิทัลที่จะมีความปลอดภัยมากกว่า โดยสามารถใช้วัดไข้ผ่านร่างกายได้ 4 แบบ คือ วัดไข้ทางปาก วัดไข้ทางรักแร้ วัดไข้ทางทวาร และวัดไข้ทางหูหลักกการทำงานของปรอทวัดไข้แบบดิจิทัล จะใช้เซ็นเซอร์อิเล็กทรอนิกส์ในการวัดอุณหภูมิซึ่งถูกบรรจุอยู่ในเครื่อง ซึ่งเซ็นเซอร์ที่นิยมใช้ส่วนใหญ่เรียกว่า “เซ็นเซอร์ความต้านทาน” (RTD) ซึ่งเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนวงจรอิเล็กทรอนิกส์จะวัดความต้านทานและแปลงค่าเป็นอุณหภูมิเพื่อแสดงผลที่หน้าจอ ส่วนใหญ่ในปรอทวัดไข้แบบดิจิทัลจะใช้เซ็นเซอร์ทีมีชื่อว่า เทอร์โมรีซิสเตอร์ หรือ เทอร์มิสเตอร์ เพราะมีความแม่นยำสูง 2. เครื่องวัดอุณหภูมิสำหรับใช้ในอุตสาหกรรม 2.1 เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่มีช่วงของการวัด อุณหภูมิที่กว้าง-60 ถึง 2,500° C เพื่อให้รองรับต่อการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้งานที่หลากหลาย โดยมีค่าคลาดเคลื่อนอยู่ที่ ± 1 ถึง 1.5°C ซึ่งเป็นค่าความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ในโรงงานอุตสาหกรรม และสามารถปรับค่า Emissivity ได้ตั้งแต่ 0-1.0 ซึ่งจะช่วยให้ได้อุณหภูมิที่แท้จริงของวัตถุที่ต้องการวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดสามารถวัดอุณหภูมิของวัตถุได้ในระยะไกลโดยไม่ต้องสัมผัสเพื่อลดความเสี่ยงของอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ และในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อลดการปนเปื้อน โดยจะมีแสงเลเซอร์เพื่อใช้ในการเล็งพื้นที่ที่ต้องการวัดอุณหภูมิ หลักการทำงานของเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในอุตสาหกรรม มีหลักกการทำงานที่เหมือนกันกับเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดทางการแพทย์ 2.2 เครื่องวัดอุณหภูมิแบบโพรบ โพรบจะมีลักษณะเป็นปลอกโลหะซึ่งในโพรบจะมี เซ็นเซอร์อุณหภูมิอยู่ข้างใน วัสดุที่ใช้ทำโพรบมีหลายชนิดแต่ที่นิยมคือ สแตนเลส เนื่องจากทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดี มีความแข็งแรง เพราะหน้าที่ของโพรบคือ เพิ่มความแข็งแรงทนทานให้ตัวเซนเซอร์วัดอุณหภูมิ และป้องกันการเสียหายจากสภาวะการใช้งานเนื่องจากต้องใช้ในงานที่มีอุณหภูมิแบบร้อนจัดและเย็นจัด ซึ่งส่วนใหญ่เครื่องวัดอุณหภูมิแบบโพรบจะแบ่งเป็น 3 ประเภท 1. โพรบวัดอุณหภูมิของอากาศ ใช้วัดอุณหภูมิในห้องหรือในบรรยากาศ 2. โพรบวัดอุณหภูมิแบบจุ่ม/เสียบ ใช้วัดโดยการจุ่มในน้ำ หรือเสียบในวัตถุที่ต้องการวัดอุณหภูมิ เช่น เนื้อสัตว์, อาหาร 3. โพรบวัดอุณหภูมิแบบสัมผัส ใช้วัดอุณหภูมิของพื้นผิว เช่น ผิวท่อ, แผ่นความร้อน หลักการทำงานของเครื่องวัดอุณหภูมิแบบโพรบ เมื่อมีอุณหภูมิ อุณหภูมิจะเปลี่ยนวงจรอิเล็กทรอนิกส์จะวัดความต้านทานและแปลงค่าเป็นอุณหภูมิเพื่อแสดงผลที่หน้าจอซึ่งมีหลักการคล้ายการทำงานของปรอทวัดไข้แบบดิจิทัลแต่มีการเลือกใช้ชนิดของเซ็นเซอร์ที่แตกต่างกันตามประเภทของการใช้งานซึ่งเซ็นเซอร์ที่ใช้ในการเครื่องวัดอุณหภูมิแบบโพรบในอุตสาหกรรมมี 2 ชนิด 1. เทอร์โมคัปเปิ้ล ซึ่งจะมีหลายวัสดุขึ้นอยู่กับประเภทที่ใช้งาน 2. อาร์ทีดี เป็นเซนเซอร์แบบความต้านทานที่เปลี่ยนไปตามอุณหภูมิ 2.3 เครื่องวัดอุณหภูมิแบบเทอร์โมคัปเปิล ถือได้ว่าเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิแบบโพรบ ชนิดหนึ่งก็ได้เพราะเซ็นเซอร์เทอร์โมคัปเปิล ต้องจะใช้กับอุปกรณ์ที่มีพื้นที่ตรงกลาง เช่น โพรบ ซึ่งเครื่องวัดอุณหภูมิแบบเทอร์โมคัปเปิลมีทั้งแบบอยู่ในโพรบ และแยกออกจากโพรบ เทอร์โมคัปเปิลสามารถใช้ได้ในหลายอุตสากรรมเนื่องจากมีช่วงอุณหภูมิการวัดความร้อนที่กว้าง ในราคาไม่แพง และมีความทนทานมาก แต่ความแม่นยำและความเสถียรอาจไม่เท่ากับอาร์ทีดี และเทอร์มิสเตอร์ การเลือกใช้เทอร์โมคัปเปิลขึ้นอยู่กับประเภของเทอร์โมคัปเปิลเนื่องจากเทอร์โมคัปเปิลจะมีการผสมโลหะที่แตกต่างกัน 2 ชนิด ซึ่งประเภทของโลหะที่พบมากที่สุดคือ “Base Metal” ที่เรียกว่าประเภท N, T, E, J และ K นอกจากนี้ยังมีชนิดพิเศษที่สามารถใช้งานในช่วงอุณหภูมิสูง ที่เรียกว่า “Noble Metal” ซึ่งมีประเภท R, S, C และ GB ส่วนใหญ่เครื่องวัดอุณหภูมิแบบเทอร์โมคัปเปิลจะใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรมผลิตอาหาร อุตสาหกรรมโลหะ ปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมทั่วไป หลักการทำงานของเครื่องวัดอุณหภูมิแบบเทอร์โมคัปเปิล ใช้หลักการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ หรือความร้อนเป็นแรงเคลื่อนไฟฟ้า ซึ่งเทอร์โมคัปเปิลจะมีปลายสองข้างซึ่งเกิดจากโลหะตัวนำที่แตกต่างกันทางโครงสร้างของอะตอม ซึ่งจะนำปลายทั้งสองข้างมาเชื่อมเข้าด้วยกัน โดยปลายข้างหนึ่งเรียกว่า Measuring point หรือ Hot junction (จุดวัดอุณหภูมิ) ซึ่งเป็นจุดที่ใช้วัดอุณหภูมิ และจะมีปลายอีกข้างหนึ่งของลวดโลหะปล่อยว่าง ซึ่งเรียกว่า Cold junction (จุดอ้างอิง) ซึ่งหากจุดวัดอุณหภูมิ และจุดอ้างอิง มีอุณหภูมิต่างกันจะเกิด ซีเบค (Seebeck effect) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากความแตกต่างของระดับความร้อนระหว่างตัวนำไฟฟ้าทำให้เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างโลหะทั้งสองทำให้มีการนำกระแสไฟฟ้าในวงจรเทอร์โมคัปเปิลทั้งสองข้าง และจะเกิดแรงดันไฟฟ้าขนาดเล็กไม่กี่ไมโครโวลต์ (µV) ต่อเคลวินของความแตกต่างของระดับความร้อนที่จุดเชื่อมต่อ 2.4 เครื่องวัดอุณหภูมิเทอร์โมสแกน (กล้องถ่ายภาพความร้อน) สามารถวัดอุณหภูมิ ที่มีความร้อนและความเย็นโดยแสดงออกมาเป็นภาพ เครื่องวัดอุณหภูมิเทอร์โมสแกน หรือ กล้องถ่ายภาพความร้อนมีความแม่นยำในการวัดอุณหภูมิสูง แต่ขึ้นอยู่กับลักษณะขอพื้นผิวของวัตถุ และระยะห่างของวัตถุ และเครื่องวัดอุณหภูมิ บางครั้งมีรังสีอิฟราเรดของวัตถุอื่นมาแทรกกลางทำให้ดูดซับพลังงานของวัตถุที่ต้องการวัดอุณหภูมิ ทำให้ได้อุณหภูมิที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ส่วนใหญ่ใช้ในการซ่อมบำรุงด้านไฟฟ้า เครื่องจักรกล และการตรวจหารอยรั่วของน้ำในผนังที่ตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ หลักการทำงานเครื่องวัดอุณหภูมิเทอร์โมสแกน การทำงานของเครื่องวัดอุณหภูมิเทอร์โมสแกนจะมีการวัดอุณหภูมิคล้ายแบบเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดโดยจะตรวจจับพลังงานอินฟราเรดโดยที่ไม่สัมผัสกับวัตถุและแปลงพลังงานออกมาเป็นอุณหภูมิแต่แตกต่างกันที่เทอร์โมสแกนจะแสดงออกมาเป็นภาพความร้อนพร้อมแสดงอุณหภูมิของวัตถุ 2.5 เครื่องวัดอุณหภูมิแบบมาโนเมตริก (Manometric thermometers) เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่ใช้วัดแรงดันหรือไอน้ำ สามารถวัดอุณหภูมิตามการเปลี่ยนแปลงความดันภายในของก๊าซ หรือของเหลว และการควบแน่น(ไอ-ของเหลว) ซึ่งช่วงของอุณหภูมิที่สามารถวัดได้ก็จะแตกต่างกันไป เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิแบบแก๊ส จะใช้ไนโตรเจน อาร์กอน และฮีเลียมเป็นสารทำงาน ช่วงวัดอุณหภูมิตั้งแต่ -150°C จนถึง +600°C เครื่องวัดอุณหภูมิแบบเหลว จะใช้ปรอท น้ำมันซิลิโคน โทลูอีนเป็นสารทำงาน ช่วงวัดอุณหภูมิตั้งแต่ -150°C จนถึง +300°C เครื่องวัดอุณหภูมิแบบควบแน่น จะใช้เมทิลคลอไรด์ เอทิลอีเทอร์ ไซลีน อะซิโตน เป็นสารทำงาน ช่วงการวัดอุณหภูมิอยู่ระหว่าง -50°C จนถึง +300°C หลักการทำงานของเครื่องวัดอุณหภูมิแบบมาโนเมตริก (Manometric thermometers) ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและความดันของสารทำงานในระบบปิด จะอาศัยหลักการขยายตัวหรือหดตัวของการไหลซึ่งอาจอยู่ในรูปของของเหลว, ไอน้ำ หรือก๊าซก็ได้ โดยที่การไหลจะเกิดการขยายตัวเมื่อได้รับความร้อน แต่ถ้าการไหลได้รับความเย็นจะเกิดการหดตัวซึ่งเหมือนกับหลักการของเครื่องมือวัดอุณหภูมิแบบหลอดแก้วปิดนั่นเอง เมื่อกำหนดให้การไหลอยู่ในปริมาตรที่จำกัด เมื่อการไหลมีการขยายตัวหรือหดตัวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงค่าความดันขึ้นโดยค่าความดันที่เปลี่ยน แปลงจะสัมพันธ์กับค่าของอุณหภูมิที่เกิดขึ้น 2.6 เครื่องวัดอุณหภูมิแบบไบเมทัล (Bimetal thermometer) เป็นเครื่องมือวัด อุณหภูมิที่ทำมาจากโลหะสองชนิดที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่ต่างกัน เหมาะสำหรับวัดอุณหภูมิที่มีค่าสูงประมาณ 60°C ขึ้นไป เพราะไวต่อการตอบสนอง แต่จะมีความแม่นยำน้อยที่อุณหภูมิต่ำๆ สามารถใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่นในเตาอบ ในเครื่องพาสเจอร์ไรซ์ ในอุตสาหกรรมทั่วไป เช่นการวัดอุณหภูมิน้ำร้อน น้ำเย็น และอุณหภูมิอาหารเหลวในถังเก็บ หลักการทำงานเครื่องวัดอุณหภูมิแบบไบเมทัล (Bimetal thermometer) การเปลี่ยนรูปของโลหะ เกิดจากอุณหภูมิเปลี่ยนแปลง โดยในเครื่องวัดอุณหภูมิแบบไบเมทัลจะมีแผ่นโลหะสองแผ่นคือสปริงที่เชื่อมต่อกันอย่างแน่นหนา ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์อุณหภูมิของการขยายตัวเชิงเส้นต่างกัน เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง สปริงจะงอและหมุนเข็มเทอร์โมมิเตอร์ ปลายด้านหนึ่งของสปริงจะติดอยู่ที่ก้านและติดลูกศรไว้กับปลายอีกด้านหนึ่ง ยกเว้นเครื่องวัดอุณหภูมิไบเมทัลลิคแบบสัมผัสที่จะมีสปริงจะพันรอบแกนขององค์ประกอบสัมผัสและ ลูกศรจะถูกแก้ไขโดยตรงบน Bimetal ด้วยความหลากหลายทั้งการใช้งานและชนิดของเครื่องวัดอุณหภูมิ ในทุกอุตสาหกรรมควรทำการศึกษาและทำความเข้าใจในเครื่องวัดอุณหภูมิในแต่ละชนิดเพื่อให้สามารถเลือกใช้งานได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม อุณหภูมิสำหรับในทุกอุตสาหกรรมมีความสำคัญเพราะตัวเลขของ อุณหภูมิเป็นตัวบ่งชี้ถึงความปกติและผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ในกระบวนการต่างๆ ของอุตสาหกรรม JenStore by Jenbunjerd เป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องวัดอุณหภูมิที่ใช้ในทุกอุตสาหกรรมจากแบรนด์ชั้นนำ ที่ได้การรับรองมาตรฐาน โดยทีมขายจากเจนสโตร์ยินดีให้คำแนะนำในการเลือกใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอย่างถูกต้องในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อช่วยให้คุณสามารถเลือกใช้งานได้ตรงตามความต้องการ และช่วยให้งานจัดซื้ออุปกรณ์สินค้าของคุณเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ : Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstoreFacebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เทคนิคเลือกถังขยะในอุตสาหกรรมยังไง ให้เหมาะกับพื้นที่และการใช้งาน

เทคนิคเลือกถังขยะในอุตสาหกรรมยังไง ให้เหมาะกับพื้นที่และการใช้งานถังขยะแบบเหยียบ หรือถังขยะสแตนเลส เลือกใช้ถังขยะให้ถูกประเภท สร้างขยะให้มีประโยชน์สูงสุด สำหรับในวงการอุตสาหกรรมการกำจัดขยะที่เกิดจากกระบวนการผลิตสินค้านั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะขยะที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมหากไม่มีวิธีการจัดเก็บที่ดีอาจส่งผลเสียต่อการผลิตเพราะอาจทำให้สินค้ามีการปนเปื้อนของเชื้อโรค และอาจส่งผลต่อชุมชมที่อาศัยอยู่รอบโรงงานอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจากขยะ เช่น กลิ่นเหม็น การเน่าเสียของแม่น้ำ อากาศเป็นพิษ ดังนั้นโรงงานอุตสาหกรรมจึงต้องมีอุปกรณ์ในการรวบรวมและจัดเก็บขยะให้ปลอดภัยเพื่อให้สามารถนำขยะไปกำจัดได้อย่างถูกวิธี ถังขยะจึงมีบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญในการจัดเก็บขยะให้ปลอดภัย ถังขยะที่นิยมใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมมีหลากหลายประเภท เช่น ถังขยะแบบเหยียบ ถังขยะใหญ่ หรือถังขยะสแตนเลส ซึ่งการใช้งานของถังขยะก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของขยะ รวมไปถึงพื้นที่ที่ใช้งาน และปริมาณของขยะ รู้จักกับประเภทตามลักษณะของถังขยะเลือกใช้ให้ถูกที่ถูกทางถังขยะแบบเหยียบ จุดประสงค์ของถังขยะชนิดนี้คือไม่ต้องการให้ผู้ใช้งานสัมผัสกับถังขยะโดยตรงเพราะถังขยะเต็มไปด้วยเชื้อโรค แบคทีเรีย และสิ่งปฏิกูลที่ถูกหมักหมมไว้ โดยส่วนใหญ่ถังขยะแบบเหยียบจะใช้ในห้องครัวในโรงอาหารของโรงงานเพื่อลดการปนเปื้อนของอาหาร หรือในห้องน้ำที่มีขยะเชื้อโรค โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ทำให้ในสำนักงานก็มักเลือกใช้ถังขยะแบบเหยียบเพื่อป้องการกันการสัมผัสเชื้อโรคของโควิด-19ถังขยะแบบมีล้อ ช่วยในการเคลื่อนย้ายขยะหรือช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับพนักงานที่เก็บขยะในโรงงานด้วยโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีพื้นที่ในการปฏิบัติงานที่มีขนาดใหญ่ เพื่อใช้ทำงานและวางเครื่องจักรต่างๆ ในพื้นที่ปฏิบัติงานบางพื้นที่ต้องมีการคัดแยกสินค้าหรือชิ้นส่วนที่ไม่ได้คุณภาพก็จำเป็นที่ต้องใช้ถังขยะแบบมีล้อเพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้ายและป้องกันไม่ให้ขยะที่อยู่ด้านในร่วงหล่นลงมาซึ่งอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนได้ในพื้นที่ปฏิบัติงานถังขยะแบบมีฝาปิด การมีฝาปิดเพื่อป้องการกันกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ของขยะลอยออกมาด้านนอก รวมไปถึงป้องกันการไปวางไข่ของแมลงวันซึ่งจะทำให้เกิดเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันสัตว์ชนิดอื่นๆที่จะเข้าไปคุ้ยเขี่ยหาอาหาร เช่นหนู สุนัข แมว และยังช่วยป้องกันน้ำที่อาจจะไหลเข้าไปข้างในถังขยะ เช่นน้ำฝน ถังขยะแบบมีฝาปิดสามารถวางไว้ได้ทั้งด้านในและด้านนอกของโรงงาน และใส่ได้ทั้งขยะแห้งและขยะเปียก เช่น เศษอาหาร ขยะที่มีกลิ่น หรือเป็นเศษหรือกากที่เหลือจากกระบวนการผลิตถังขยะสแตนเลส เป็นถังขยะที่มีดีไซน์ทันสมัย มีความสวยงามและคงทน ถังขยะสแตนเลสบางยี่ห้อตัวถังจะชุบกัลวาไนซ์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสนิมเพื่อให้สามารถใช้งานได้ทั้งในอาคารและนอกอาคาร และสามารถทำความสะอาดได้ แต่ส่วนใหญ่มักใช้ในอาคารสำนักงานด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของถังขยะถังขยะใหญ่ จะมีความจุ 100 ลิตรขึ้นไปเพื่อรองรับขยะที่มีปริมาณมากๆ เช่น ในกระบวนการผลิต กระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้า ในโรงอาหาร หรือที่พักพนักงาน ถังขยะขนาดใหญ่ผลิตจากพลาสติกเกรดดีที่เหนียวและทนทาน มีความแข็งแรง คงรูปได้ดี สามารถใช้ได้ทั้งในอาคารและนอกอาคาร บางรุ่นมีล้อ และใช้เท้าเหยียบเพื่อให้ฝาเปิดเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน ในโรงงานอุตสาหกรรมจะมีหลักในการกำจัดของเสียในโรงงานเรียกว่า 3Rs เป็นหลักที่จะช่วยในการลดของเสียจากกระบวนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถที่จะนำกากอุตสาหกรรมไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด หลัก 3Rs มีด้วยกัน 3 ข้อคือ Reduce (ลดการใช้หรือใช้น้อยเท่าที่จําเป็น) Reuse (การใช้ซ้ำ) และ Recycleท (แปรรูปมาใช้ใหม่) เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นนอกจากการจัดเก็บขยะที่ปลอดภัยแล้วถังขยะยังต้องมีหน้าที่ในการคัดแยกขยะให้ถูกต้องตามวิธีที่จะใช้กำจัดขยะเพื่อไม่ให้ขยะบนเปื้อนจะได้สะดวกในการนำขยะกลับมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากประเภทตามลักษณะของถังขยะที่เคยกล่าวไป เช่น ถังขยะแบบเหยียบ ถังขยะสแตนเลส ถังขยะยังมีการแยกประเภทตามประภทของขยะเพื่อให้รองรับการนำกลับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ประเภทของถังขยะที่แยกตามประเภทขยะมีทั้งหมด 4 ประเภทถังขยะสีเขียว สำหรับขยะที่ย่อยสลายได้เองในเวลาอันสั้น สามารถนำมาหมักทำปุ๋ยได้ เช่น เศษผัก เศษอาหาร เปลือกผลไม้ เศษเนื้อสัตว์ ใบไม้ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ขยะจะมาจากสำนักงาน หรือโรงอาหารในโรงงานเป็นหลัก ถังขยะที่เหมาะสมคือถังขยะแบบเหยียบ ถังขยะแบบมีล้อ ถังขยะแบบมีฝาปิด หรือถังขยะใหญ่ เนื่องจากมีประมาณขยะต่อวันค่อนข้างมาก และมีโอกาสในการเน่าเสียสูงเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อโรคได้ง่ายถังขยะสีเหลือง สำหรับมูลฝอยที่ยังใช้งานได้ หรือขยะที่สามารถนำกลับมาผลิตใหม่ได้ เช่น กระดาษ ขวดน้ำ แก้วน้ำ เศษเหล็ก เศษโลหะ อลูมิเนียม กล่องเครื่องดื่มแบบ UHT ส่วนใหญ่จะนำขยะกลับเข้ากระบวนการผลิตใหม่ภายในโรงงาน เช่น การนํามาบดและหลอมซ้ำภายในโรงงาน ถังขยะที่เหมาะนำมาใช้งานคือถังขยะใหญ่ หรือถังขยะที่มีล้อ เพื่อรองรับปริมาณและน้ำหนักของขยะ รวมถึงเคลื่อนย้ายได้สะดวกถังขยะสีน้ำเงิน สำหรับขยะทั่วไป ขยะที่ย่อยสลายได้ยาก ขยะที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ หรือนำกลับมาผลิตใหม่ไม่คุ้มทุน เช่น โฟม ถุงพลาสติกพลาสติก ฟอยล์ เหมาะจัดเก็บในถังขยะใหญ่ถังขยะสีแดง สำหรับขยะอันตรายที่มีการปนเปื้อนสารเคมี มีอัตรายต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อมโดยจะต้องมีการคัดแยกอย่างระมัดระวังและมิดชิด เช่น ถ่านไฟฉาย หลอดไฟ ขวดพลาสติกบรรจุสารเคมี กระป๋องสเปรย์ ยาฆ่าแมลง นอกจากขยะอันตรายแล้ว ถังขยะสีแดงยังใช้กับขยะติดเชื้อด้วยโดยเฉพาะช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้มีขยะที่เกิดการปนเปื้อนเชื้อโรคเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากที่เกิดจากการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคโดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีคนจำนวนมาก ขยะติดเชื้อที่มักพบได้บ่อย เช่น หน้ากากอนามัย ชุดตรวจ ATK ผ้าพันแผล สำลี เข็มฉีดยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่กิจกรรมดังกล่าวจะเกิดในส่วนของสำนักงาน ถังขยะที่มักใช้จึงเป็นถังขยะสแตนเลส ถังขยะแบบเหยียบ ที่ติดตั้งในสำนักงาน ห้องพยาบาล หรือในห้องน้ำ ขยะจะไม่ถูกนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดถ้าบุคคลที่เกี่ยวข้องในการจัดเก็บขยะหรือพนักงานไม่มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการคัดแยกขยะและประเภทขยะ โดยเฉพาะขยะอันตรายและขยะติดเชื้อที่ต้องทิ้งในภาชนะที่เหมาะสม ดังนั้นเพื่อให้พนักงานคัดแยกขยะได้อย่างถูกต้องต้องมีการประชาสัมพันธ์ในการใช้งานของถังขยะแต่ละประเภทไม่ว่าการเลือกใช้ถังขยะแบบเหยียบ ถังขยะสแตนเลส ถังขยะใหญ่ หรือที่มีสีกำกับ เช่น เขียว แดง เหลือง จึงมีความสำคัญมาก เพราะหากเลือกใช้ถังขยะได้อย่างถูกต้องตามหลักการใช้งาน ถังขยะก็ถือเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ช่วยในการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นในการรักษาสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจ และสังคมไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และยังทำให้อุตสาหกรรมและชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน ถังขยะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไป JenStore by Jenbunjerd เป็นผู้จัดจำหน่ายถังขยะที่ใช้ในอุตสาหกรรมมีมากมายหลายแบบ เช่น ถังขยะแบบเหยียบ ถังขยะสแตนเลส ถังขยะใหญ่ ถังขยะแบบมีเซ็นเซอร์ ถังขยะแบบมีล้อ ถังขยะที่มีฝาปิดชนิดต่างๆ รวมถึงชุดถังขยะที่แยกประเภทตามประเภทของขยะ นอกจากนั้นยังมีจำหน่ายถังขยะ กทม. ครบทุกสีที่แบ่งแยกตามประเภทของขยะ และอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับถังขยะ เช่น ถุงขยะ ฐานล้อสำหรับถังขยะ เจนสโตร์ พร้อมให้คำปรึกษาการเลือกใช้ถังขยะที่เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจคุณ และรับจัดหาสินค้าให้ตรงตามความต้องการของธุรกิจทุกประเภท พร้อมด้วยบริการดูแลหลังการขายแบบครบวงจรโดยทีมขายผู้เชี่ยวชาญจาก เจนสโตร์ ที่มากประสบการณ์ในวงการสินค้าอุตสหากรรม จัดเก็บ ยก ย้าย ให้เราเป็นผู้ช่วยให้ทุกการจัดซื้อของคุณเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ : Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
การจัดลังพลาสติก และลังอเนกประสงค์ที่บรรจุสินค้า ศาสตร์เล็กๆ ที่สำคัญมากในอุตสาหกรรม

การจัดลังพลาสติก และลังอเนกประสงค์ที่บรรจุสินค้า ศาสตร์เล็กๆ ที่สำคัญมากในอุตสาหกรรมเทคนิคการจัดลังพลาสติก และลังอเนกประสงค์บรรจุสินค้า ให้ใช้งานง่าย รวดเร็ว และถูกต้องการบริหารคลังสินค้าคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการบริหารธุรกิจ ซึ่งการบริการคลังสินค้าต้องการระบบในการจัดการเพื่อให้สินค้าหรืออุปกรณ์มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความคล่องตัวและรวดเร็วในการเบิกจ่าย-เติมสินค้า หรือการขนย้ายสินค้าหรืออุปกรณ์ ดังนั้นคลังสินค้าส่วนใหญ่จึงนิยมใช้ลังพลาสติกในการจัดเก็บสินค้าเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะดวกและรวดเร็วในการขนย้ายแต่ลังพลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมก็มีการใช้งานที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของของลังพลาสติก ซึ่งการใช้งานลังพลาสติกในการจัดเก็บสินค้าหากเลือกใช้ให้ถูกต้องตามลักษณะการใช้งานจะช่วยปกป้องสินค้าหรืออุปกรณ์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บสินค้าได้มากขึ้น ประเภทของลังพลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆลังพลาสติกทึบแบบมีฝา เหมาะสำหรับการจัดเก็บและขนถ่ายสินค้า สามารถป้องกันฝุ่น และวางซ้อนได้ช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ ส่วนมากใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต ชิ้นส่วนรถยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือใช้ในการจัดเก็บในสินค้าหรืออุปกรณ์อื่นๆได้ลังพลาสติกพับได้ เหมาะสำหรับแยกสินค้าเป็นหมวดหมู่ ด้วยพลาสติกมีความโปร่งใสจึงทำให้ง่ายต่อการมองเห็นสินค้าด้านใน สามารถวางลังพลาสติกซ้อนกันได้เพื่อประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บสินค้าและมีสลักล็อคเพื่อป้องกันพับตัวของลังขณะวางซ้อนกัน พร้อมมีฝาเปิดด้านบนหรือด้านข้างเพื่อความสะดวกในการหยิบจับสินค้า และด้วยลักษณะของลังที่สามารถพับเก็บได้ทำให้ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บหากไม่ใช้งาน ลังพลาสติกสามารถใช้งานได้ในหลายอุตสาหกรรมลังพลาสติกแบบโปร่ง เหมาะสำหรับการบรรจุสินค้าที่ต้องการให้อากาศถ่ายเท เพราะลังพลาสติกแบบโปร่งมีรูระบายอากาศรอบทิศทาง โครงสร้างแข็งแรง รับน้ำหนักได้ดี ตัวลังพลาสติกมีช่องสอดมือที่ด้านข้างทั้งสองฝั่งเพื่อสะดวกในการขนย้าย สามารถใช้กับอุตสาหกรรมอาหาร พืช ผัก ผลไม้ หรือใช้ในระบบ PRE-COOLING เพื่อรักษาความสดของพืชผัก สามารถวางซ้อนกันได้โดยที่สินค้าที่บรรจุอยู่ด้านในไม่เสียหาย และบางรุ่นสามารถสวมเก็บได้ทำให้ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บลังพลาสติกที่ใช้กระจายสินค้า หรือลังอเนกประสงค์ เป็นลังพลาสติกที่สามารถใช้งานได้หลายรูปแบบ มีโครงสร้างที่แข็งแรง รองรับแรงกระแทกได้ดี ป้องกันการเสียหายของสินค้าที่อยู่ภายในได้ดีเพราะมีฝาปิด บางรุ่นมีช่องสอดมือที่ด้านข้างทั้งสองข้างเพื่อให้เคลื่อนย้ายสะดวก และลังอเนกประสงค์สามารถวางซ้อนกันได้ถึง 4 ชั้น นอกจากนั้นยังประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บเพราะสามารถเปิดฝาออกและสวมเก็บได้นอกจากการการใช้งานลังพลาสติกและลังอเนกประสงค์ในการจัดเก็บสินค้าเพื่อให้สะดวกในการหยิบ-จับ หรือขนย้ายแล้วการจัดวางระบบในพื้นที่คลังสินค้าก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะสินค้าหรืออุปกรณ์ที่ถูกจัดเก็บมีจำนวนที่มากและมีหลากหลายประเภท หากไม่มีการบริหารพื้นที่และวางระบบในการจัดเก็บสินค้าหรืออุปกรณ์ที่ดีอาจทำให้การนำมาใช้งานมีความล่าช้า เกิดความผิดพลาดได้ง่าย และอาจเกิดอันตรายได้ การจัดวางลังพลาสติก และลังอเนกประสงค์ที่บรรจุสินค้าให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานออกแบบแผนผังของพื้นที่เพื่อกำหนดจุดการทำงาน ก่อนที่จะนำลังพลาสติกหรือลังเอนกประสงค์ที่บรรจุสินค้าหรืออุปกรณ์ไปจัดวางในคลังสินค้า ควรมีการวางออกแบบแผนผังของพื้นที่ในคลังสินค้าและกำหนดจุดในการใช้งานให้ชัดเจน เช่น พื้นที่หลักในการจัดเก็บสินค้าหรืออุปกรณ์ พื้นที่จัดเก็บสินค้าใหม่ พื้นที่จัดเก็บสินค้าที่หมดอายุหรือค้างสต็อค พื้นที่สำนักงาน พื้นที่แพ็คสินค้าหรืออุปกรณ์ และพื้นที่ขนส่งสินค้าหรืออุปกรณ์ เพื่อจะได้ประเมินพื้นที่คลังสินค้าว่าสามารถรองรับจำนวนของสินค้า และอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดเก็บสินค้าได้เพียงพอไหม เช่น ลังพลาสติกหรือลังเอนกประสงค์สำหรับบรรจุสินค้าหรืออุปกรณ์ ชั้นวางสินค้าหรืออุปกรณ์ รถแฮนด์ลิฟท์สำหรับการขนย้าย และพนักงานที่ต้องเข้ามาทำงานในพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ว่างระหว่างชั้นวางสินค้า และทางเดินระหว่างชั้นวางสินค้าควรมีพื้นที่มากพอในการขนย้ายสินค้าหรืออุปกรณ์เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุในระหว่างขนย้ายสินค้าหรืออุปกรณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้จัดหมวดหมู่และประเภทของลังพลาสติกสินค้าหรืออุปกรณ์ สินค้าหรืออุปกรณ์ที่ถูกจัดเก็บในลังพลาสติกหรือลังอเนกประสงค์ควรถูกกำหนดหมวดหมู่และประเภทสินค้าเพื่อจะได้จัดระเบียบของสินค้าและเพื่อความรวดเร็วในการหาขนย้ายสินค้าเพื่อนำไปใช้งานหรือการเติมสินค้า การติดป้ายกำกับบนอุปกรณ์ที่ใช้จัดเก็บสินค้า เช่น ชั้นวางสินค้า เป็นวิธีที่คลังสินค้าส่วนใหญ่เลือกใช้ โดยหลักการจะใช้ตัวอักษรและตัวเลขในการตั้งชื่อหรือรหัส โดยจะนำชื่อหรือรหัสไปเขียนในป้ายกำกับ และจะติดป้ายกำกับที่ชั้นวางสินค้า, แถวของเชลฟ์ที่วางสินค้า, และตำแหน่งที่วางสินค้าบนเชลฟ์ เช่น ลังพลาสติกที่ใช้จัดเก็บขวดน้ำที่ชั้นวางสินค้าแถว A คือกระบอกน้ำลายยูนิคอร์น เชลฟ์แถว A คือ สีชมพู ตำแหน่งที่ 1 ขนาดบรรจุ 250 ml และป้ายกำกับสินค้าถัดไปก็เปลี่ยนแค่ตำแหน่ง เช่น ตำแหน่งที่ 2 ขนาดบรรจุ 500 ml และไล่ลำดับไปเรื่อยๆจนสินค้าหมด แต่หากเป็นสินค้าคนละสี คนละลาย รหัสอาจเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสมการติดป้ายสินค้าที่ลังพลาสติกหรือลังอเนกประสงค์ นอกจากการติดป้ายที่ชั้นวางสินค้าหรืออุปกรณ์แล้ว ยังสามารถติดป้ายสินค้าหรืออุปกรณ์ที่ลังพลาสติก หรือลังอเนกประสงค์ที่ใช้จัดเก็บสินค้าหรืออุปกรณ์ได้อีกด้วย เพื่อระบุว่าประเภทของสินค้าหรืออุปกรณ์ในลังพลาสติกหรือลังอเนกประสงค์เป็นสินค้าชนิดใด โดยจะมีป้ายชื่อพลาสติกที่ออกแบบมาเพื่อใช้ยึดติดกับลังพลาสติกหรือลังอเนกประสงค์เพื่อให้สามารถเสียบการด์ที่บอกชื่อ ประเภทวัสดุ หรือรายละเอียดอื่นๆ ของสินค้าหรืออุปกรณ์ที่ต้องการแจ้งไว้ที่ด้านข้างของลังพลาสติกหรือลังอเนกประสงค์วิธีการเรียงลังพลาสติกหรือลังอเนกประสงค์ในคลังสินค้า ควรเรียงลังพลาสติกหรือลังอเนกประสงค์ที่บรรจุสินค้าตามลำดับความสำคัญของสินค้า ซึ่งสามารถใช้แนวคิด ABC Analysis มาช่วยในการจัดเรียงสินค้า ABC Analysis คือ การบริหารจัดการสินค้าคงคลังด้วยการจัดกลุ่มสินค้าตามมูลค่าการใช้ในรอบระยะเวลาหนึ่ง โดยจะจัดลำดับของสินค้าตามยอดขายของสินค้า โดยมีการแบ่งดังนี้A= สินค้าที่มีมูลค่าการใช้ต่อปีสูงที่สุดB= สินค้าที่มีมูลค่าอยู่ระหว่างกลุ่ม A และ CC= สินค้าที่มีมูลค่าต่ำสุดดังนั้นลังพลาสติกหรือลังอเนกประสงค์ที่บรรจุสินค้าที่ขายดีจึงควรอยู่แถว เชลฟ์ และตำแหน่ง ที่ใกล้กับพื้นที่ขนย้าย หรือ พื้นที่ด้านนอกสุดที่สะดวกในการหยิบใช้งาน และลังพลาสติกที่บรรจุสินค้าที่มียอดขายต่ำหรือนานๆ จะขายได้ควรอยู่แถว เชลฟ์ และตำแหน่งที่ยากต่อการเข้าถึงหรืออาจจะไกลจากจุดขนย้าย เพราะนานๆครั้งจะถูกนำมาใช้งาน หากเป็นคลังที่ใช้จัดเก็บอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการใช้งานก็อาจแบ่งตามจำนวนความถี่ในการใช้งาน ถ้ามีการเบิกใช้ และเติมสต็อกอุปกรณ์บ่อยครั้ง ลังพลาสติกหรือลังเอนกประสงค์ที่บรรจุอุปกรณ์ชนิดดังกล่าวก็อาจต้องอยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ง่ายซึ่งก็จะตรงข้ามกับอุปกรณ์ที่มีความถี่ในการใช้งานน้อยก็อาจจะอยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ยาก หรือไกลออกไปจากจุดเบิก-จ่ายอุปกรณ์ แต่ในบางครั้งสินค้าหรืออุปกรณ์บางชนิดต้องใช้งานร่วมกันแต่หากแยกเดี่ยวๆ อาจมียอดขายยอดหรือความถี่ในการใช้งานต่ำก็อาจจับสินค้าหรืออุปกรณ์ชนิดดังกล่าวอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กันเพื่อให้เข้าถึงสินค้าหรืออุปกรณ์ทั้งสองได้อย่างรวดเร็ว การสร้างระบบและระเบียบในการจัดเก็บลังพลาสติกหรือลังอเนกประสงค์ที่บรรจุสินค้าหรืออุปกรณ์จะช่วยให้การใช้งานเกิดประสิทธิภาพทั้งด้านเวลาและแรงงาน ยิ่งมีการจัดเก็บสินค้าให้เป็นระบบและระเบียบมากเท่าไรยิ่งทำให้ใช้แรงงานในการตรวจสอบสินค้าหรืออุปกรณ์น้อยลงและทำให้การขนย้ายสินค้าหรืออุปกรณ์มีความรวดเร็วส่งผลให้สินค้ากระจายถึงมือผู้บริโภคหรือผู้ใช้งานได้เร็วยิ่งขึ้น นอกจากการจัดสินค้าหรืออุปกรณ์ที่เป็นระบบแล้ว มาตรฐานของอุปกรณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะหากอุปกรณ์ในการจัดเก็บไม่ได้มาตรฐานอาจส่งผลให้สินค้ามีความเสียหายและเกิดอันตรายที่ไม่อาจคาดคิดได้ทำให้เพิ่มต้นทุนโดยไม่เกิดประโยชน์ขึ้นได้ JenStore by Jenbunjerd เป็นผู้จำหน่ายอุปกรณ์ในการจัดเก็บสินค้าในอุตสากรรม เช่น กล่องพาสติก ลังพลาสติก ลังอเนกประสงค์ พาเลทพลาสติก ลังขนาดใหญ่ ชั้นวางของเหล็ก ชั้นวางสินค้า ชั้นวางของอเนกประสงค์ ถังกลมและภาชนะใส่สารเคมี ที่มีมาตรฐานสากล ท่านสามารถเชื่อมั่นได้ในเรื่องของคุณภาพของสินค้าที่จะได้รับ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ :Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
ช่างเครื่องยนต์ปลอดภัยไร้กังวลเมื่อมี 5 สิ่งนี้

ช่างเครื่องยนต์ปลอดภัยไร้กังวลเมื่อมี 5 สิ่งนี้ หมวกนิรภัย แว่นนิรภัย ที่ครอบหูกันเสียง รองเท้าเซฟตี้ แผ่นยางกันลื่น 5 อุปกรณ์นิรภัยที่ช่วยป้องกันอันตรายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ความปลอดภัย เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการปฏิบัติงานโดยเฉพาะการทำงานด้านเครื่องยนต์ที่ต้องใกล้ชิดกับเครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้ตลอดเวลา อุปกรณ์ความปลอดภัยจึงเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่จะช่วยให้ลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย และลดอาการบาดเจ็บจากหนักให้เป็นเบา อุปกรณ์นิรภัยมีหลากหลายประเภทที่ใช้ในการปฏิบัติงานมีตั้งแต่หมวกนิรภัยป้องกันศีรษะ แว่นตานิรภัยป้องกันดวงตา ที่ครอบหูกันเสียงเพื่อป้องกันแก้วหู และกระดูกหู รองเท้าเซฟตี้ป้องกันเท้า และแผ่นยางกันลื่นป้องกันร่างกายไม่ให้ลื่นล้มจนเกิดการบาดเจ็บในการปฏิบัติงาน ผู้ประกอบการจึงควรต้องศึกษาประเภทของอุปกรณ์นิรภัยและการเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับคุณสมบัติของอุปกรณ์นิรภัยชนิดต่างเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดต่อผู้ปฏิบัติงาน   5 อุปกรณ์นิรภัยที่สำคัญสำหรับช่างเครื่องยนต์ รองเท้าเซฟตี้ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเท้าในขณะที่ปฏิบัติงาน เช่น ป้องกันการบาดเจ็บจากวัตถุหล่นใส่ กระแทก หรือ กลิ้งทับ ป้องกันการลื่นล้ม ป้องกันการเจาะทะลุของวัตถุแหลมคม และป้องกันเท้าจากกระแสไฟฟ้า ซึ่งลักษณะของอันตรายที่จะเกิดขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับประเภทและพื้นที่ในการปฏิบัติงานดังนั้นการเลือกใช้รองเท้าเซฟตี้ให้ถูกต้องกับประเภทของงานจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายที่ทำให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ประเภทของรองเท้าเชฟตี้ตามลักษณะการใช้งาน1.1 รองเท้าเชฟตี้ป้องกันหน้าเท้า รองเท้าเซฟตี้ประเภทนี้หัวของปลายรองเท้าจะทำมาจาก เหล็กกล้า อลูมิเนียม หรือคอมโพสิต ครอบป้องกันบริเวณนิ้วเท้ารวมไปถึงกระดูกเท้าส่วนบนเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเท้าได้ เช่น การหล่นใส่ การกระแทก การกลิ้งทับ โดยมาตรฐานแล้วหัวเหล็กที่ปลายเท้าของรองเท้าเซฟตี้ควรจะรับแรงกระแทกได้อยู่ที่ 200 จูล หรือประมาณ 20 กิโลกรัม จากความสูง 1 เมตร ในบางรุ่นพื้นรองเท้าเซฟตี้ยังเสริมพื้นรองเท้าด้วยแผ่นเหล็กเพื่อป้องกันของมีคม เช่นตะปูหรือเศษแก้ว ส้นรองเท้าและพื้นรองเท้ามักจะมีดอกยางหรือลายพื้นยางเพื่อกันลื่น รองเท้าเซฟตี้ป้องกันหน้าเท้าเหมาะสำหรับงานก่อสร้างและเครื่องจักรกลหนัก1.2 รองเท้าเซฟตี้ป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากไฟฟ้า เช่น ไฟฟ้าดูดหรือไฟฟ้าช็อต ซึ่งส่วนใหญ่รองเท้าเซฟตี้ประเภทนี้จะทำจากวัสดุที่ไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้า เช่น หนังแท้, ยาง และระหว่างตัวรองเท้าและพื้นรองเท้าต้องไม่มีรอยเย็บเพื่อป้องกันการไหลผ่านของกระแสไฟฟ้า 1.3 รองเท้าเชฟตี้ป้องกันการเกิดเพลิงไหม้ ในพื้นที่ปฏิบัติงานบางพื้นที่อาจมีสารไวไฟหรือผสมสารไวไฟซึ่งอาจก่อให้เกิดการระเบิดหรือเกิดไฟไหม้ได้จากไฟฟ้าสถิตในร่างกายมนุษย์ รองเท้าเซฟตี้ชนิดนี้ออกแบบมาเพื่อให้สามารถปล่อยไฟฟ้าสถิตจากร่างกายผ่านรองเท้าลงสู่พื้นได้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมในร่างกาย และพื้นที่ที่ใช้ปฏิบัติงานควรมีลักษณะเรียบเพื่อให้ไฟฟ้าสถิตกระจายตัวออกไปรวดเร็ว โดยรองเท้าเซฟตี้ชนิดนี้มีค่าต้านทานไฟฟ้าในอัตราต่างๆ หลายระดับ เพื่อให้สามารถเลือกใช้งานได้อย่างเหมาะสม 1.4 รองเท้าเซฟตี้ที่ใช้ในงานหล่อหลอมโลหะ ในอุตสาหกรรมประเภทนี้ต้องอยู่กับความร้อนสูงดังนั้นรองเท้าเซฟตี้ชนิดนี้ต้องใช้วัสดุที่ทนต่อความร้อนสูงได้ และควรมีความยาวของรองเท้าที่สามารถปกปิดบริเวณขาได้เพื่อป้องกันการกระเด็นของโลหะเหลวที่หลอมละลาย 1.5 รองเท้าเซฟตี้ป้องกันสารเคมี ส่วนใหญ่รองเท้าเซฟตี้ชนิดนี้จะทำจากยางธรรมชาติ หรือ ยางสังเคราะห์ เนื่องจากสามารถทนต่อการกัดกร่อนของสารเคมี รองเท้าเซฟตี้ป้องกันสารเคมีมีอยู่ 2 ชนิด คือ ที่แบบมีหัวโลหะ และไม่มีหัวโลหะ หมวกนิรภัย เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันศีรษะจากการกระแทกทั้งจากวัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง หรือจากการหกล้ม การเจาะทะลุของวัตถุ และยังสามารถต้านทานต่อกระแสไฟฟ้าหรือทนต่อการไฟไหม้ รวมไปถึงป้องกันผมไม่ให้เข้าไปพันกับเครื่องจักรที่กำลังทำงาน ซึ่งหมวกนิรภัยจะช่วยลดแรงกระแทกทำให้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นลดน้อยลงประเภทของหมวกนิรภัย 1. หมวกนิรภัยที่ลดแรงกระแทกจากด้านบนของหมวกเท่านั้น 2. หมวกนิรภัยที่ลดแรงกระแทกทั้งด้านบน ด้านข้าง ด้านหน้า และด้านหลังของศีรษะชนิดของหมวกนิรภัย• หมวกนิรภัย ชนิด Class C ทำจากโลหะ หรือ อลูมิเนียมใช้ลดแรงกระแทกเท่านั้น จึงไม่เหมาะกับงานที่เกี่ยวกับไฟฟ้า แต่เหมาะสำหรับใช้ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อน เช่น การขุดเจาะน้ำมัน โรงกลั่นน้ำ • หมวกนิรภัย ชนิด Class D ทำจากพลาสติกหรือไฟเบอร์กลาส ความพิเศษของวัสดุชนิดนี้คือเมื่อติดไฟแล้วสามารถดับลงเองได้ และไม่นำไฟฟ้า จึงเหมาะสำหรับใช้ในงานดับเพลิง งานเหมือง•หมวกนิรภัย ชนิด Class E ทำจากพลาสติกหรือไฟเบอร์กลาส ใช้เพื่อลดอันตรายจากไฟฟ้าแรงสูงและลดแรงกระแทก โดยจะต้องผ่านการทดสอบความต้านทานแรงดันไฟฟ้าที่ 20,000 โวลด์ ที่ความถี่ 50 Hz เป็นเวลา 3 นาที และต้านทานรอบการเจาะไม่เกิน 10 มม.เพื่อให้ได้มาตรฐานในการใช้งาน เหมาะสำหรับใช้ในงานที่เกี่ยวกับไฟฟ้า งานก่อสร้าง• หมวกนิรภัยชนิด Class G ทำจากพลาสติกหรือไฟเบอร์กลาสใช้ลดอันตรายจากไฟฟ้าแรงดันต่ำ โดยจะต้องผ่านการทดสอบการต้านทานแรงดันไฟฟ้าที่ 2,200 โวลด์ ที่ความถี่ 50 Hz เป็นเวลา 1 นาที และสามารถต้านทานแรงเจาะได้ จึงเหมาะสำหรับงานทั่วไปที่มีความเสี่ยงที่ศีรษะจะได้รับอันตราย งานก่อสร้าง ที่ครอบหูกันเสียง เป็นอุปกรณ์ที่ลดความดังของเสียงที่จะมารบกวนต่อแก้วหู กระดูกหู ความดังของเสียงที่เป็นอันตรายต่อหูคือ 85-90 เดซิเบลขึ้นไป นอกจากลดความดังของเสียงแล้วยังใช้ป้องกันเศษหรือวัสดุกระเด็นเข้าหูได้อีกด้วย โดยที่ครอบกันเสียงจะมีลักษณะเหมือนหูฟังแบบครอบ ปรับเลื่อนได้ตามขนาดของศีรษะ ด้านในของที่ครอบหูกันเสียงจะมีวัสดุป้องกันเสียงเป็นตัวรองอยู่ด้านในซึ่งมีวัสดุหลายชนิด เช่น ของเหลว โฟม พลาสติก หรือ ยาง วัสดุเหล่านี้เป็นตัวดูดเสียง ที่ครอบหูบางรุ่นติดตั้งเครื่องรับโทรศัพท์อยู่ภายในเพื่อใช้สื่อสาร ที่ครอบหูกันเสียงสามารถลดความดังของเสียงประมาณ 22-30 เดซิเบล แต่ที่ครอบหูกันเสียงที่ใช้วัสดุในการกันเสียงแบบของเหลว เช่น น้ำจะลดความดังได้มากที่สุดประมาณ 35-40 เดซิเบล แว่นตานิรภัย ช่วยป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับดวงตาจากวัตถุ ฝุ่นละออง สารเคมี และรังสี ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ลักษณะของแว่นตานิรภัยจะคล้ายกับแว่นตาทั่วไป โดยที่แว่นตานิรภัยเองก็จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะของแว่นตานิรภัยคือ แบบไม่มีกระบังข้าง ใช้เพื่อป้องกันวัตถุกระเด็นเข้าตา เช่น เศษโลหะ และแบบมีกระบังข้าง สามารถป้องกันการกระเด็นของวัตถุด้านข้างได้ด้วย ซึ่งนอกจากความแตกต่างของลักษณะดังกล่าวแล้ว แว่นตานิรภัยยังมีความแตกต่างที่เลนส์ของแว่นตา เลนส์ของแว่นตานิรภัยจะมีเลนส์เฉพาะหลากหลายชนิดเพื่อสามารถใช้ในการอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ โดยวิธีการเลือกสีของเลนส์แว่นตานิรภัยควรเลือกสีที่ตรงข้ามกับสภาพแวดล้อม เช่น เลนส์สีเหลือง สำหรับแสงสีฟ้า หรือ UV, เลนส์สีแดง สำหรับแสงสีเขียว ตัวอย่างของสีเลนส์แว่นตานิรภัย• Clear Safety Glasses: เลนส์ใส สำหรับงานทั่วไปที่ต้องการป้องกันสิ่งของกระแทกตา • Gray Safety Glasses: เลนส์เทา สำหรับงานภายนอกที่ต้องการป้องกันแสงจ้า โดยภาพที่มองเห็นจะได้สีไม่เพี้ยน • Indoor/Outdoor Safety Glasses: เลนส์ใสแบบมีการเคลือบสะท้อนแสงแบบบางใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก ช่วยลดแสงสะท้อนจากหลอดไฟต่างๆ ได้ดี • Gold Blue Silver Mirror Safety Glasses: เลนส์สีทอง น้ำเงิน และเงิน แบบมีการเคลือบสะท้อนแสง สำหรับงานภายนอกที่มีแสงสว่างมากและมีการสะท้อนแสงเข้าตา การเคลือบสะท้อนแสงช่วยลดแสงผ่านเข้าเลนส์ได้ Dark • Green Safety Glasses: เลนส์สีเขียว สำหรับงานทั่วไป ที่มีการสะท้อนแสงและรังสี UV เข้าตา • Filter Shades Safety Glasses: เลนส์กรองแสง ใช้สำหรับป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเลต และอินฟราเรดสำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับการหลอมโลหะ งานเชื่อม งามเจียร แผ่นยางกันลื่น ใช้ป้องกันอันตรายที่เกิดจากการลื่นจากพื้นที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย เช่น พื้นเปียก พื้นมัน และแผ่นยางกันลื่นบางรุ่นยังออกแบบมาเพื่อคลายความเมื่อยของเท้าและแผ่นหลังจากการทำงาน แผ่นยางกันลื่นสามารถใช้ได้ทั้งพื้นแห้ง พื้นเปียก และพื้นมัน ง่ายต่อทำความสะอาด ทนทานต่อการสึกหรอและฉีกขาด และสามารถรองรับน้ำหนักได้มาก วัสดุที่นิยมมาใช้ในการผลิตแผ่นยางกันลื่นจะมีอยู่สองประเเภทคือยางธรรมชาติ (NB) และยางสังเคราะห์ (์ฺ(NBR) และจะมีการออกแบบลวดลายต่างๆ เพื่อให้สามารถใช้งานได้หลากหลายประเภทตัวอย่างประเภทของลวดลายแผ่นยางกันลื่น5.1 แผ่นยางกันลื่น ลายไดม่อน (ลายตีนไก่) เป็นแผ่นยางกันลื่น ไม่นำไฟฟ้า มีความแข็งแรง ทนทานต่อน้ำ น้ำมัน และสารเคมี ทนต่อการขีดข่วน การสึกหรอ รับแรงกระแทกได้ดี มีร่องกว้างทำให้ทำความสะอาดง่าย เหมาะสำหรับใช้ปูพื้นในโรงงานอุตสากหรรม โรงแรม ทางเดิน ที่จอดรถ5.2 แผ่นยางกันลื่นลายเหรียญ มีลายเหมือนเหรียญบาทเป็นวงกลม ช่วยในการดักฝุ่น โคลน และกันลื่น แผ่นยางกันลื่นลายเหรียญมีความทนทานน้ำ น้ำมัน การสึกหรอ ความร้อน และอุณหภูมิติดลบ รองรับน้ำหนักและลดแรงกระแทกได้ดี ไม่เป็นเชื้อรา เหมาะสำหรับรองฐานเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม ปูพื้นทางเดินเช่น โรงงาน โรงพยาบาล ปูพื้นโต๊ะกันลื่น5.3 แผ่นยางกันลื่น คุชชั่นอีส (CUSHION EASE) แผ่นยางกันลื่นมีลักษณะเป็นรูเพื่อให้ระบายน้ำได้ง่ายต่อการทำความสะอาด แผ่นยางมีแผ่นหน้าเรียบสามารถเดินด้วยเท้าเปล่าได้ แผ่นยางมีความยืดหยุ่นช่วยคลายความเมื่อยล้าของเท้าและหลังจากการยืนเป็นเวลานาน มีความหนา และทนทาน ปกป้องพื้นจากการตกของเครื่องมือ มีตัวต่อในตัวสามารถขยายพื้นที่กว้างและยาว แผ่นยางกันลื่นคุชชั่นอีสแบ่งการใช้งานตามสี สีดำ สำหรับปูพื้นที่ใช้ทำงานทั่วไป สีแดง สำหรับพื้นที่ต้องทำงานกับน้ำมัน เหมาะสำหรับใช้ปูพื้นประเภทงานหนักในโรงงานอุตสาหกรรม5.4 แผ่นยางกันลื่น คุชชั่นอีส โซลิด (Cushion - Ease Solid) มีผิวหน้าเรียบลายทรายละเอียดเพื่อป้องกันการลื่น ไม่มีรูระบายน้ำ มีความหนา ทนทานเป็นพิเศษ แผ่นยางกันลื่นมีความยืดหยุ่นและให้ความรู้สึกนุ่มนวลในการยืนเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าของเท้าและหลัง มีตัวต่อในตัวสามารถขยายพื้นที่กว้างหรือยาวได้ตามที่ต้องการ แผ่นยางกันลื่นคุชชั่นอีส โซลิดแบ่งประเภทการใช้งานตามสี สีดำ เหมาะสำหรับพื้นที่ใช้งานทั่วไป สีแดง เหมาะสำหรับป้องกันบริเวณที่มีน้ำมัน เหมาะสำหรับปูพื้นในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป การเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับประเภทของการใช้งานจะทำให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและปลอดภัยแล้ว การเลือกใช้อุปกรณ์นิรภัยที่ได้รับมาตรฐานก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเพราะหากเลือกใช้อุปกรณ์นิรภัยที่ไม่ได้มาตรฐานอาจเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต JenStore by Jenbunjerd เป็นผู้จำหน่ายอุปกรณ์ความปลอดภัยสำหรับใช้ในอุตสาหกรรม เช่น หมวกนิรภัย ที่ครอบหู ที่อุดหู แว่นตานิรภัย รองเท้าเซฟตี้ แผ่นกันลื่น ชุดป้องกันสารเคมี ชุด PPE เข็มขัดกันตก ถุงมือกันความร้อน ถุงมือกันไฟฟ้า ตู้เก็บสารเคมี ถาดรองสารเคมี โดยอุปกรณ์ที่จำหน่ายทุกชนิดได้รับมาตราฐานในระดับสากลจึงการันตีความปลอดภัยในการใช้งาน ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ : Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
5 เหตุผล ทางสิ่งแวดล้อม ที่โรงงานต้องคัดแยกขยะลงถังขยะให้ถูกประเภท

5 เหตุผล ทางสิ่งแวดล้อม ที่โรงงานต้องคัดแยกขยะลงถังขยะให้ถูกประเภทรู้หรือไม่ว่า การใช้ถังขยะแยกถูกประเภท ถังขยะรีไซเคิล ช่วยลดกระทบการทำลายสิ่งแวดล้อม 5 ด้านคงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ ประเทศไทย กำลังเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากขยะมูลฝอยในปริมาณที่ค่อนข้างสูงทั้งในครัวเรือน โรงพยาบาล โรงแรม หรือธุรกิจค้าปลีก แต่สิ่งที่สร้างความกังวลอย่างมาก ก็คือปัญหาขยะมูลฝอยติดเชื้อที่ทวีเพิ่มขึ้นจากโควิด -19 รวมทั้งขยะอันตราย และเพื่อลดกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้ถังขยะแยกประเภท จึงเป็นสิ่งที่สำคัญแต่รู้หรือไม่ว่า ปัจจุบันโรงงานกำจัดขยะของประเทศไทย กำลังเผชิญกับปัญหาการทิ้งขยะ ที่ไม่มีการแยกประเภทของขยะอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น การทิ้งขยะในถังขยะรีไซเคิล การทิ้งถังขยะอันตราย โดยหากแบ่งแยกขยะมูลฝอยทั้งในห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล โรงแรม ร้านอาหาร โรงงานอุตสาหกรรม สามารถจำแนกประเภทขยะได้ 4 ประเภท ดังนี้ขยะย่อยสลายได้ เป็นประเภทของเศษอาหาร พืชผัก ขยะอินทรีย์ กิ่งไม้ขยะรีไซเคิล เป็นขยะที่สามารถนำไปผ่านกระบวนการรีไซเคิล เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น กระดาษ ขวดพลาสติกขยะทั่วไป เป็นขยะที่ย่อยสลายยาก และไม่คุ้มต่อการรีไซเคิล เช่น ถุงพลาสติก ถุงขนม เศษพลาสติกเช่นซองลูกอมขยะพิษหรือขยะอันตราย เป็นสารเคมี หรือขยะที่มีพิษต้องผ่านกระบวนการกำจัดอย่างถูกวิธีเท่านั้น เช่น หลอดไฟ กระป๋องสี กระป๋องสารเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า น้ำมันเครื่อง ฯลฯ 5 เหตุผลสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทำไมตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล โรงเรียน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ผู้ประกอบการร้านอาหาร และ โรงงานอุตสาหกรรม ต้องร่วมกันกำจัดขยะด้วยการหันมาใช้ถังขยะแยกประเภทเพื่อช่วยให้การแยกขยะทำได้ง่ายขึ้น ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะในยุคนี้การตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการจะคำนึงถึงแบรนด์ที่รักษ์โลก จากการที่คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงกระทบโดยเฉพาะ ปัญหาขยะที่ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมถึง 5 ด้าน ดังนี้ 1. การปนเปื้อนในดินเป็นปัญหาอันดับ 1 ที่เกิดจากการกำจัดและกำจัดของเสียที่ไม่เหมาะสม ของเสียบางชนิดที่ถูกฝังกลบจะขับสารเคมีอันตรายที่รั่วไหลลงสู่ดิน เช่น ขวดพลาสติกจะเกิดการสลายตัวและปล่อย DEHA ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง รวมทั้งยังส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์ที่กินพืชเหล่านั้นด้วย ซึ่งการแยกขยะจะช่วยขจัดขยะที่ไม่ควรใช้วิธีการฝังกลบได้เป็นอย่างดี 2. เกิดมลพิษในอากาศของเสียที่มีสารเคมีอันตราย เช่น สารฟอกขาวและกรด จำเป็นต้องกำจัดอย่างเหมาะสม และต้องเป็นเครื่องที่ผ่านการรับรองอย่างถูกต้อง ยกตัวอย่าง กระดาษและพลาสติกบางชนิดเมื่อถูกเผาจะปล่อยก๊าซและสารเคมีที่ทำลายชั้นโอโซนของเสียที่ปล่อยไดออกซินที่เป็นอันตรายและก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพเมื่อแพร่กระจายไปในอากาศเสียปล่อย 3. เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศน้ำถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของมนุษย์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การใช้น้ำรดพืชผลทางการเกษตรไปจนถึงการดื่ม เมื่อเกิดสารเคมีปนเปื้อนในแหล่งน้ำสร้างผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ รวมทั้งยังสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศของสัตว์น้ำทั้งน้ำจืดและทางทะเล ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าโฟมและก้นบุหรี่ทำให้สัตว์ทะเลที่บริโภคเสียชีวิต หรือส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารในทะเล 4. เกิดภาวะโลกร้อนขยะจากพลาสติกเมื่อถูกความร้อนจากดวงอาทิตย์ จะทำให้ขยะเกิดการย่อยสลายและปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ขยะพลาสติกจึงเป็นหนึ่งในตัวแปรที่ทำให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศ (Climate Crisis) หรือภาวะโลกร้อน และเกิดปรากฎการณ์เปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศสุดขั้วที่โลกกำลังประสบอยู่ ตั้งแต่พายุและไต้ฝุ่นที่รุนแรงไปจนถึงความร้อนที่แผดเผา 5. แหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงนำโรค การกำจัดขยะมูลฝอยไม่ถูกวิธี สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยเป็นแหล่งเพาะพันธ์สัตว์ต่าง เช่น แมลงวัน แมลงสาบ ยุง ฯลฯ และเป็นที่ซุกซ่อนของหนูและสัตว์อื่นๆ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดกลิ่นเหม็น และก่อให้เกิดความรำคาญรวมทั้งอาจจะส่งผลต่อสุขภาพให้กับมนุษย์ ปัญหาการคัดแยกขยะ คือความท้าทายหนึ่งของผู้ดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล โรงงานอุตสาหกรรม หรือกระทั่งโรงแรม ที่ควรมีถังขยะแยกประเภท ถังขยะรีไซเคิล ถังขยะอันตราย หรือถังขยะ 4 สี เพื่อให้บริการกับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพฤติกรรมการแยกขยะทิ้งของลูกค้า ปัจจุบันถังขยะมีด้วยกัน 4 ประเภท1. ถังขยะอันตราย หรือ ถังขยะสีแดงสำหรับใส่ขยะอันตราย หรือ มูลฝอยอันตราย คือ มูลฝอยที่ปนเปื้อน หรือมีองค์ประกอบของวัตถุดังต่อไปนี้ วัตถุไวไฟ วัตถุออกไซต์และวัตถุเปอร์ออกไซต์ วัตถุมีพิษ รวมทั้งวัตถุอย่างอื่นที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรืออาจทำให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืชหรือทรัพย์ เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ ถ่ายไฟฉายหรือแบตเตอรี่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ ภาชนะที่ใช้บรรจุสารกำจัดแมลงหรือวัชพืช กระป๋องสเปรย์บรรจุสีหรือสารเคมี เป็นต้น 2. ถังขยะเปียก หรือถังขยะย่อยสลายได้ถังขยะสีเขียว เพื่อสำหรับใส่ขยะย่อยสลาย หรือมูลฝอยย่อยสลาย คือ ขยะที่เน่าเสียและย่อยสลายได้เร็ว สามารถนำมา หมักปุ๋ยได้ เช่น เศษผัก เปลือกผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ เศษเนื้อสัตว์ เป็นต้น แต่ไม่รวมถึงซาก หรือเศษของพืช ผัก ผลไม้ หรือสัตว์ที่เกิดจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ เป็นต้น 3. ถังขยะรีไซเคิล หรือถังขยะสีเหลืองสำหรับใส่ขยะรีไซเคิล หรือ มูลฝอยที่ยังใช้ได้ คือ ของเสียบรรจุภัณฑ์ หรือวัสดุเหลือใช้ ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ เช่น แก้ว กระดาษ กระป๋อง เครื่องดื่ม เศษพลาสติก เศษโลหะ อลูมิเนียม ยางรถยนต์ กล่องเครื่องดื่ม แบบ UHT เป็นต้น 4. ถังขยะทั่วไป หรือ ถังขยะสีน้ำเงินประโยชน์เพื่อสำหรับใส่ขยะทั่วไป หรือ มูลฝอยทั่วไป คือ ขยะประเภทอื่นนอกเหนือจากขยะย่อยสลาย ขยะรีไซเคิล และขยะอันตราย มีลักษณะที่ย่อยสลายยาก และไม่คุ้มค่าสำหรับการนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เช่น ห่อพลาสติกใส่ขนม ถุงพลาสติกบรรจุผงซักฟอก พลาสติกห่อลูกอม ถุงพลาสติก เปื้อนเศษอาหาร โฟมเปื้อนอาหาร หรือถุงพลาสติกสำหรับบรรจุเครื่องอุปโภคด้วยวิธีรีดความร้อน เป็นต้น ข้อดีของการคัดแยกขยะการคัดแยกขยะช่วยลดปริมาณขยะลดลงแล้ว ยังทำให้เราเหลือขยะที่จะกำจัดน้อยลงการแยกขยะช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงาน โดยการนำของที่ใช้แล้วนำกลับมารีไซเคิล วิธีนี้สามารถลดทรัพยากรในการผลิตใหม่ขึ้นมาการแยกขยะช่วยประหยัดงบประมาณในการคัดแยกขยะ ซึ่งการคัดแยกขยะถือว่ามีค่าใช้จ่ายที่ค่อนสูง โดยเฉพาะการใช้แรงงานคนนอกจากการคัดแยกขยะที่มีประโยชน์มากมายแล้ว ‘ถังขยะ’ ยังมีประโยชน์ช่วยปกป้องเชื้อโรค อันเกิดจากสิ่งปฏิกูลที่สะสมอยู่ภายในถัง ปกปิดกลิ่น ไรฝุ่น รวมทั้งช่วยกำจัดขยะได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้การตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม มีภาพลักษณ์ที่ดี ช่วยให้มีสถานที่มีความสะอาดและที่สำคัญปราศจากเชื้อโรค เมื่อรู้แล้วว่าการใช้ถังขยะแยกประเภท ถังขยะรีไซเคิล ถังขยะอันตราย และถังขยะ 4 สี สามารถช่วยโรงงานคัดแยกประเภทของขยะและสามารถนำไปกำจัดได้อย่างเหมาะสมและช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว หากคุณเป็นผู้ดำเนินธุรกิจทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ผู้ประกอบการร้านอาหาร และโรงงานอุตสาหกรรม กำลังมาหาถังขยะ 4 สี ได้แก่ สีแดง สีเขียว สีเหลือง หรือสีน้ำเงิน JenStore by Jenbunjerd เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถังขยะแยกประเภท โดยผลิตจากพลาสติกคุณภาพดี แข็งแรง ทนทาน ที่มีให้เลือกหลากหลายชนิด ทั้งขนาดและรูปทรง อาทิ ถังขยะแบบมีล้อ ,ถังขยะติดล้อแบบมีฝาเหนียบ, ถังขยะ กทม., ถังขยะแบบเหยียบ, ถังขยะอันตราย, ถังขยะแบบติดล้อฝาเรียบ, ถังขยะใสและถังขยะแบบขุ่น, โดยสามารถเลือกตามประเภทของการแยกขยะและตามความเหมาะสมกับการใช้งาน มีทั้งฝาสีน้ำเงิน สีแดง สีเหลือง และสีเขียว ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ : Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
ตู้เก็บเอกสารเหล็ก ตู้เก็บของ โต๊ะพับ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างไร เลือกซื้ออย่างอย่างไรดี

ตู้เก็บเอกสารเหล็ก ตู้เก็บของ โต๊ะพับ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างไร เลือกซื้ออย่างอย่างไรดีวิธีการเลือกซื้อ ตู้เก็บเอกสารเหล็ก ตู้เก็บของ และโต๊ะพับ เพิ่มความคล่องตัวในการทำงานเคยสังเกตุกันไหม? ออฟฟิศไม่ว่าใหญ่หรือเล็กมักจะประสบปัญหาปริมาณของเอกสาร และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในออฟฟิศที่มีจำนวนมากจนพื้นที่ที่เคยจัดสรรไว้อาจไม่เพียงพอต่อการจัดเก็บจนทำให้ขยายพื้นที่ไปยังพื้นที่อื่นเช่น ห้องประชุม ทำให้พื่้นที่ที่ใช้สอยในออฟฟิศมีขนาดที่เล็กจนไม่เพียงพอต่อการใช้สอยในออฟฟิศจึงต้องมีอุปกรณ์ในการจัดเก็บหรือใช้งานที่ช่วยประหยัดพื้นที่ ดังนั้นออฟฟิศส่วนใหญ่จึงต้องมีตู้เก็บเอกสารซึ่งมีทั้งที่เป็นแบบตู้เก็บเอกสารไม้ และตู้เก็บเอกสารเหล็ก แต่โดยส่วนใหญ่ออฟฟิศจะนิยมใช้ตู้เก็บเอกสารแบบเหล็กมากกว่าเพราะมีความแข็งแรง ทนทานต่อการใช้งาน ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ในออฟฟิศก็สามารถจัดเก็บได้ที่ตู้เก็บของซึ่งฟังก์ชั่นการใช้งานก็มีให้เลือกใช้หลากหลายแบบขึ้นอยู่กับประเภทของอุปกรณ์ที่ต้องจัดเก็บหรือบางครั้งก็สามารถใช้ทั้งตู้เก็บเอกสารและตู้เก็บของในการจัดเก็บเอกสารและอุปกรณ์ต่างๆรวมกันได้ สำหรับพื้นที่ใช้สอยในออฟฟิศที่ไม่เพียงพอก็สามารถเลือกใช้โต๊ะพับในการใช้ประชุมหรือต้อนรับลูกค้าหากเสร็จจากภาระกิจก็สามารถพับเก็บได้ทำให้ได้พื้นที่ในการใช้สอยกลับมาใช้ประโยชน์ในด้านอื่นได้ตู้เก็บเอกสารเหล็ก ตู้เก็บของ และโต๊ะพับถือเป็นอุปกรณ์ที่ควรมีในออฟฟิศเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม การบริการจัดการภายในออฟฟิศถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามแต่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงอีกหนึ่งอย่างคือการเลือกใช้ตู้เก็บเอกสารเหล็ก ตู้เก็บของ และโต๊ะพับควรคำนึงถึงการใช้งาน และประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่จะได้รับ ตู้เก็บเอกสารเหล็ก ตู้เก็บเอกสารเหล็กจะเป็นตัวช่วยให้งานเอกสารเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นโดยเฉพาะในบริษัทที่ต้องมีเอกสารจำนวนมากในการทำงาน เช่น สำนักงานทนาย ซึ่งการจัดเก็บเอกสารเป็นเรื่องที่สำคัญมากหากไม่มีการจัดเก็บเป็นหมวดหมู่ก็อาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการทำงานและเกิดความเสียหายทั้งชื่อเสียง และทรัพย์สินได้ ดังนั้นตู้เก็บเอกสารเหล็กจะเป็นตัวช่วยทำให้งานจัดเก็บเอกสารง่ายขึ้น ทั้งยังช่วยให้สะดวกในการใช้งาน แต่การเลือกซื้อตู้เก็บเอกสารเหล็กก็ต้องดูองค์ประกอบหลายอย่างในการตัดสินใจซื้อเพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มีประสิทธิภาพที่สุด หลักการในการเลือกซื้อตู้เก็บเอกสารเหล็กความสัมพันธ์ระหว่างขนาดและพื้นที่ เป็นข้อแรกที่ต้องคำนึงถึงเมื่อต้องการจะเลือกซื้อตู้เก็บเอกสารเหล็ก เพราะมีหลายขนาดให้เลือกใช้ตั้งแต่ เล็ก กลาง ใหญ่ ซึ่งการจะเลือกซื้อตู้เก็บเอกสารแบบเหล็กควรต้องคำนึงถึงขนาดพื้นที่ที่จะใช้วางตู้ข้อแนะนำที่ดีควรวัดพื้นที่ที่ต้อง การใช้วางตู้เก็บเอกสารเหล็กทั้งความกว้าง ความยาว และความสูง เพื่อจะได้ซื้อตู้เก็บเอกสารได้ขนาดที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่ต้องการใช้งาน ฟังก์ชั่นการใช้งาน ตู้เก็บเอกสารมีฟังก์ชั่นการใช้ให้เลือกใช้หลายประเภทเพื่อต้องการรองรับการใช้งานให้ครอบคลุมมากที่สุดโดยตู้เก็บเอกสารเหล็กมีทั้งแบบไม่มีหน้าบาน แบบบานเปิด-ปิด แบบลิ้นชัก แบบบานเลื่อน หรือแบบผสม เช่น ด้านบนเป็นแบบไม่มีบานปิด แต่ด้านล่างเป็นแบบบานเปิด-ปิด หรือด้านซ้ายเป็นแบบลิ้นชัก แต่ด้านขวาเป็นบานเปิด-ปิด และแบบที่ล็อคได้และล็อคไม่ได้ ดังนั้งควรสำรวจว่าเอกสารที่เราต้องการจัดเก็บนั้นจะจัดเก็บกับลักษณะตู้แบบไหนที่จะช่วยให้การค้นหาเอกสารได้เร็วที่สุดและปลอดภัยที่สุด ความแข็งแรงและความทนทาน หน้าที่หลักของตู้เก็บเอกสารเหล็กคือการจัดเก็บเอกสารทำให้ต้องแบกรับน้ำหนักเอกสารที่ใช้ในการจัดเก็บ ความแข็งแรงและความทนทานของตู้เก็บเอกสารเหล็กจึงมีความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ถึงแม้ตู้เก็บเอกสารเหล็กจะมีความแข็งแรงอยู่แล้วตามวัสดุที่ใช้ในการผลิตแต่ความหนาของเหล็กที่ใช้ในการผลิตย่อมต้องมีความหนาที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับโรงงานที่ผลิตและราคาขายซึ่งย่อมมีผลต่อความหนา-บางของเหล็กที่นำมาใช้ในการผลิตตู้เก็บเอกสาร ราคา เป็นหลักการพิจารณาที่ออฟฟิศส่วนใหญ่ใช้นำมาเป็นข้อมูลเปรียบเทียบเพื่อพิจารณาว่าตู้เก็บเอกสารเหล็กแบบไหน ยี่ห้อ ไหนมีราคาคุ้มค่าในการจ่ายเงินโดยที่ได้ประโยชน์สูงสุดตามความต้องการที่จะใช้งาน ง่ายต่อการใช้งาน ตู้เก็บเอกสารเหล็กจะเข้ามาช่วยในการจัดระเบียบของเอกสารให้สามารถค้นหาได้ง่ายและนำมาใช้งานได้อย่างรวดเร็วช่วยเก็บรักษาเอกสารที่สำคัญไม่ให้สูญหาย หรือปะปนไปกับเอกสารอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตู้เอกสารเหล็กสามารถแบ่งพื้นที่ในตู้เพื่อสร้างหมวดหมู่ของเอกสารได้หากเป็นเอกสารที่สำคัญสามารถเก็บที่ตู้ที่มีตัวล็อคได้ช่วยป้องการเสียหายจากแมลง ปลวก มดและสัตว์ชนิดต่างๆ หรือจากความสกปรกจากฝุ่นละออง หรือจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่น น้ำหก เนื่องด้วยตู้เก็บเอกสารเหล็กแบบที่มีบานประตู ไม่ว่าจะแบบบานเปิด-ปิด บานเลื่อน จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายหรือความสกปรกต่อเอกสารที่ถูกจัดเก็บได้เพิ่มพื้นที่ในการใช้งานในออฟฟิศ การที่มีตู้จัดเก็บเอกสารเหล็กช่วยทำให้พื้นที่ใช้สอยของ ออฟฟิศมีมากขึ้นด้วยตู้เอกสารเหล็กสามารถเก็บเอกสารในแนวสูงได้ทำให้พื้นที่ที่ใช้วางตู้เก็บเอกสารเหล็กใช้น้อยกว่าไม่มีแบบไม่มีตู้เก็บเอกสาร ทำให้มีพื้นที่ว่างมากขึ้นและสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นแทนได้ รวมไปถึงยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการต่อเติมหรือขยายพื้นที่เพื่อใช้งานในออฟฟิศได้อีกด้วย ตู้เก็บของ เป็นอุปกรณ์ที่มีทั้งลักษณะและการใช้งานที่คล้ายคลึงกับตู้เก็บเอกสารเหล็กในบางครั้งก็สามารถนำมาใช้จัดเก็บเอกสารได้โดย แต่ตู้เก็บของจะมีความยืดหยุ่นในการใช้งานได้หลากหลายกว่าเพราะอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดเก็บมีมากมายหลายประเภท วัสดุของตู้เก็บของจะมีการทั้งแบบเป็นพลาสติก แบบไม้ หรือแบบเหล็กให้เลือกใช้งาน และสีของตู้เก็บของมีสีให้เลือกใช้งานได้หลากหลายสี ขนาดที่มีให้เลือกใช้งานมีทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ บานประตูส่วนใหญ่ของตู้เก็ของจะเป็นแบบบานเปิด-ปิด และแบบลิ้นชักหลักการในการซื้อตู้เก็บของ ความสัมพันธ์ของขนาดและพื้นที่ โดยต้องมีการวัดพื้นที่ทั้งความกว้าง ความยาว และความสูง ของพื้นที่ที่ต้องการวางตู้เก็บของเพื่อจะได้นำข้อมูลไปเลือกซื้อขนาดตู้เก็บของที่เหมาะสมกับพื้นที่ได้ โดยการเลือกซื้อตู้เก็บของอีกหนึ่งข้อที่ควรคำนึงถึงถึงคือระยะการเปิดของประตูของตู้เก็บของที่มีบานประตูแบบบานเปิด-ปิด หรือแบบลิ้นชัก ฟังก์ชั่นการใช้งาน การเลือกฟังก์ชั่นต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะใช้เก็บในตู้เก็บของเพราะตู้เก็บของสามารถปรับฟังก์ชั่นการใช้งานได้หลากหลาย เช่น สามารถปรับระดับชั้นวางของได้ หรือ ถอดชั้นวางของออกได้เพื่อเก็บของที่มีขนาดใหญ่ ดังนั้นการเลือกใช้งานต้องวางแผนถึงการใช้งานเพื่อจะได้ซื้อตู้เก็บของ และใช้งานตู้เก็บของได้อย่างมีประโยชน์มากที่สุด ความแข็งแรงและความทนทาน การเลือกใช้ตู้เก็บของควรเลือกใช้ให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องจัดเก็บเพราะหากใช้เก็บอุปกรณ์เล็กๆ น้อยในออฟฟิศ เช่น ปากกา ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด สามารถใช้ตู้เก็บของขนาดเล็กและเป็นวัสดุพลาสติกได้เพราะน้ำหนักของอุปกรณ์ที่ใช้เก็บมีน้ำหนักเบาและตู้เก็บของแบบพลาสติกก็มีน้ำหนักเบาสามารถเคลื่อนย้ายพื้นที่ในการจัดเก็บได้ง่ายแต่หากต้องใช้เก็บอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่หรือมีความสำคัญสามารถใช้เก็บในตู้เก็บของแบบเหล็กโดยสามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับความหนาของเหล็กที่ใช้ทำตู้เก็บของเพื่อจะได้ตู้เก็บของที่แข็งแรงและใช้งานได้ยาวนาน ราคา ด้วยวัสดุและฟังก์ชั่นที่มีความหลากหลายราคาจึงเป็นสิ่งที่ช่วยในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเพื่อแค่ต้องรู้ถึงอุปกรณ์ที่จะใช้ในการจัดเก็บและงบประมาณที่จะใช้ในการซื้อตู้เก็บของเพื่อที่จะได้จัดสรรได้ว่าอุปกรณ์ประเภทนี้จะใช้ตู้วัสดุแบบไหน ต้องการฟังก์ชั่นแบบไหน หรือความแข็งแรงและทนทานแค่ไหนเพื่อที่จะได้เลือกซื้อให้สอดคล้องกับงบประมาณที่ตั้งไว้ให้ได้มากที่สุด ช่วยในการจัดเก็บอุปกรณ์ต่างๆให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ง่ายต่อการใช้งาน สะดวกต่อการค้นหาป้องกันฝุ่นละออง แมลง มด หนู หรือสัตว์ๆต่างที่จะเข้ามากัด แทะ หรือฉี่ใส่อุปกรณ์ทำให้อุปกรณ์เสียหายหรือทำให้ผู้ใช้งานติดเชื้อโรคได้ช่วยประหยัดเวลาในการค้นหาอุปกรณ์ทำให้มีเวลาเหลือในการทำงานมากขึ้นช่วยเพิ่มพื้นที่ในการทำงานให้มากขึ้น เพราะอุปกรณ์ต่างๆ ได้ถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบในตู้เก็บของเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเสริมให้การตกแต่งออฟฟิศสวยงามมากขึ้นเพราะตู้เก็บของมีสีสันให้เลือกใช้งานหลากหลายสีตู้เก็บของสามารถใช้งานได้อย่างเอนกประสงค์เพราะสามารถปรับฟังก์ชั่นการใช้งานได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน โต๊ะพับ เป็นอุปกรณ์อเนกประสงค์ที่สามารถช่วยเพิ่มพื้นที่ในการใช้สอยด้วยโต๊ะพับสามารถพับเก็บได้เมื่อไม่ได้ใช้งาน และยังสามารถเคลื่อนย้ายได้ หรือพกพาได้สำหรับโต๊ะพับที่มีขนาดเล็ก โต๊ะพับโดยส่วนใหญ่มีรูปทรงอยู่ 2 แบบ คือแบบทรงกลม และ ทรงสี่เหลี่ยม และทำจากวัสดุหลากหลายชนิด การรับน้ำหนัก ความคงทน แข็งแรง จึงมีความแตกต่างกันออกไป เช่น โต๊ะพับที่บานโต๊ะทำจากโฟเมก้าและขาโครเมี่ยม โต๊ะพับที่บานโต๊ะทำจาก HDPE หลักการในการเลือกซื้อโต๊ะพับ ขนาดที่ต้องการใช้งาน เหตุผลที่ออฟฟิศส่วนใหญ่เลือกใช้โต๊ะพับเพราะสามารถพับเก็บได้จึงทำให้เพิ่มพื้นที่ในการใช้งานได้ ดังนั้นขนาดของโต๊ะพับก่อนการเลือกซื้อควรต้องคำนึงว่าโต๊ะพับนี้ต้องการใช้งานอะไรบ้าง เช่น หากต้องใช้ประชุมเป็นทางการก็ควรเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมที่มีขนาดกลางขึ้นไปเพื่อรองรับจำนวนคน และอุปกรณ์ที่จะใช้ในการประชุม แต่ถ้าหากเป็นการประชุมย่อยๆ กับพนักงานจำนวนไม่มากก็สามารถใช้โต๊ะกลมที่มีขนาดเล็ก หรือกลางได้ การเลือกขนาดของโต๊ะพับก็เพื่อให้สามารถวางได้ในพื้นที่ขนาดต่างๆที่ต้องการใช้งาน ประเภทของการใช้งาน โต๊ะพับมีทั้งที่สามารถใช้งานได้ทั้งภายในหรือภายนอกอาคารขึ้นอยู่กับวัสดุดังนั้นก่อนการซื้อควรนอกจากรู้จุดประสงค์ที่ต้องการใช้งานแล้วควรรู้ถึงตำแหน่งที่ต้องการใช้งานเพื่อจะได้เลือกวัสดุที่ใช้งานได้ถูกต้อง การเลือกวัสดุที่เหมาะสมในการใช้งานรวมถึงความแข็งแรงทนทาน การรับน้ำหนัก การป้องกันสนิท การป้องกันของรังสียูวี และการปรับระดับความสูงของโต๊ะอีกด้วย ราคา ด้วยวัสดุและคุณสมบัติต่างๆ ทำให้ราคาของโต๊ะพับมีราคาที่แตกต่างกันออกไป แต่บางครั้งโต๊ะพับอาจเป็นวัสดุที่เหมือนกันบางร้านอาจจะมีราคาที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ หากเรามีการเปรียบเทียบราคาจะทำให้ได้สินค้าที่ดีในราคาที่คุ้มค่าได้ สามารถพับเก็บขาโต๊ะได้ทำให้เพิ่มพื้นที่ในการใช้สอยและลดพื้นที่ในการจัดเก็บสามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคารสะดวกในการใช้งานเพราะพกพาได้ทำให้เคลื่อนย้ายไปใช้งานในที่ต่างๆ ได้ง่ายมีความแข็งแรง ทนทาน และรับน้ำหนักได้ดีมีปุ่มป้องกันการลื่นเมื่อวางซ้อนกันหลายชั้นโต๊ะพับบางรุ่นสามารถปรับระดับความสูงได้ทำให้การใช้งานแบบอเนกประสงค์ได้ดียิ่งขึ้นการเลือกซื้อตู้เก็บเอกสารเหล็ก ตู้เก็บของ และโต๊ะพับสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงคือจุดประสงค์ในการใช้งานและประโยชน์ที่ต้องการได้รับเพื่อที่จะได้เลือกวัสดุ และฟังก์ชั่นที่ต้องการใช้งานได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม JenStore by Jenbunjerd เป็นผู้จัดจำหน่าย ตู้เก็บเอกสารเหล็ก ตู้เก็บของ และโต๊ะพับ รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์สำหรับใช้ในออฟฟิศมากมายหลายประเภท เช่น โต๊ะทำงาน เก้าอี้สำนักงาน เก้าอี้อเนกประสงค์ ชั้นเก็บของ ตู้เซฟ ตู้ล็อกเกอร์เหล็ก และอุปกรณ์ตกแต่งสำนักงาน ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ :Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เคล็ด(ไม่)ลับการเลือกใช้ล้ออุตสาหกรรมสำหรับรถเข็น ที่ช่วยให้งานหนักๆ เบากว่าที่คิด

เคล็ด(ไม่)ลับการเลือกใช้ล้ออุตสาหกรรมสำหรับรถเข็น ที่ช่วยให้งานหนักๆ เบากว่าที่คิดงานหนักๆ ไม่หนักอีกต่อไปเมื่อใช้ล้อยาง ล้อไนล่อน และล้อยูรีเทนรถเข็นเป็นสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการขนย้ายหรือเคลื่อนย้ายสินค้าและอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากความรวดเร็วที่จะได้รับแล้วการใช้รถเข็นยังช่วยประหยัดแรงงาน และประหยัดเงิน เพราะใช้แรงงานเพียงไม่กี่คนก็สามารถขนย้ายหรือคลื่อนย้ายสินค้าและอุปกรณ์ในจำนวนมากๆ ได้ โดยที่ไม่เกิดความเสียหาย อุปกรณ์ที่สำคัญที่ช่วยให้รถเข็นเคลื่อนที่และรองรับน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ ล้อ ในวงการอุตสาหกรรมมักจะเรียกล้อสำหรับใช้งานว่า ล้ออุตสาหกรรม เพราะล้อที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมเป็นล้อที่ต้องมีความแข็งแรง ทนทานเป็นพิเศษเพื่อให้รองรับกับน้ำหนักของสินค้าและอุปกรณ์ที่มีน้ำหนักมาก ทั้งยังต้องทนทานต่อสารเคมี น้ำมัน น้ำ หรือต้องทนทานต่ออุณภูมิที่ร้อนหรือเย็นตามพื้นที่ที่อยู่ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยส่วนใหญ่ล้ออุตสาหกรรมมักจะถูกใช้ขนย้ายเครื่องจักร พาเลทสินค้า ในอุตสาหกรรมโรงแรมใช้ขนย้ายสัมภาระ หรือในอุตสาหกรรมอาหารที่ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิติดลบ ซึ่งการใช้งานล้ออุตสาหกรรมความหนักในระดับปานกลางถึงหนักมากน้ำหนักจะเริ่มต้นที่ 70 กิโลกรัมขึ้นไปล้ออุตสาหกรรมหรือล้อรถเข็น คือ อุปกรณ์ที่ใช้ติดที่ช่วงล่างของรถเข็น โดยล้ออุตสาหกรรมจะถูกประกอบเข้ากับชิ้นส่วนต่างๆ ที่จะช่วยให้ล้ออุตสาหกรรมเคลื่อนที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรองรับน้ำหนักในปริมาณมากๆได้ เช่น แผ่น plate มีทั้งชนิดที่หมุนปรับทิศทางได้และปรับทิศทางไม่ได้, ประเภทของ Stopper ที่ใช้เพื่อล็อคล้อ, ตลับลูกปืน ที่ใช้ลดแรงเสียดทาน และประเภทของวัสดุที่ใช้ทำล้ออุตสากรรม เช่น ล้อยาง ล้อไนล่อน และล้อยูรีเทน ซึ่งถือเป็นส่วนที่สำคัญของล้ออุตสาหกรรมเพราะไม่ใช่ว่าทุกวัสดุของล้ออุตสาหกรรมจะรองรับน้ำหนักในปริมาณมากๆ ได้ ดังนั้นจึงควรเลือกใช้วัสดุที่ใช้ทำล้ออุตสาหกรรมให้เหมาะสมกับประเภทของงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการใช้งาน และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น วัสดุของล้ออุตสาหกรรมที่ช่วยให้งานหนักๆ เคลื่อนย้ายง่ายกว่าที่คิด 1. ล้อยางเป็นวัสดุที่มีต้นกำเนิดมาจากธรรมชาติ เป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูงจึงทำให้มีคุณสมบัติไม่มีเสียงเวลาเคลื่อนที่และไม่ทำให้พื้นเป็นรอย และทนทานต่อน้ำ แต่ล้อยางแบบธรรมชาติจะมีความแข็งแรงน้อยและรองรับน้ำหนักได้ไม่มาก จึงเหมาะกับการขนย้ายแบบเบาๆ ซึ่งในวงการอุตสาหกรรมยังคงต้องการคุณสมบัติที่ดีล้อยางธรรมชาติ ดังนั้นจึงได้มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อผลิตยางสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อจะได้นำคุณสมบัติที่ดีของยางธรรมชาติมาใช้งานในขณะเดียวกันก็ปรับปรุงข้อด้อยของยางธรรมชาติเพื่อให้สามารถใช้งานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นตัวอย่างของล้อยางสังเคราะห์ที่นิยมใช้ในงานอุตสาหกรรม 1.1 ล้อยางสังเคราะห์ TPR TPR ผลิตจากยางเทอร์โมพลาสติก TPR เป็นวัสดุที่คงคุณสมบัติทั้งยางและพลาสติกไว้ วัสดุ TPR เป็นรูปแบบหนึ่งของยางสังเคราะห์ มีคุณสมบัติทนทานต่อแรงกระแทก ไม่มีเสียงดังเวลาเคลื่อนที่ มีผิวสัมผัสที่นุ่ม ไม่เกิดรอยบนพื้น ทนต่อการสึกหรอ มีความคงทนมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และสามารถรีไซเคิลได้ซึ่งเป็นวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 1.2 ล้อยางอีลาสติก ER ผลิตจากยางอีลาสติกมีคุณสมบัติยืดหยุ่นคล้ายกับยาง แต่มีความแข็งแรงมากกว่ายางธรรมชาติ รองรับน้ำหนักได้ปานกลาง ทนต่อแรงกระแทก ทนทานน้ำมันและสารเคมี ไม่มีเสียงดังเวลาเคลื่อนที่ มีผิวสัมผัสที่นุ่ม ไม่เกิดรอยบนพื้น ทนต่อการสึกหรอระดับปานกลาง มีความคงทนใช้งานได้ยาวนาน การใช้งาน ล้อยางนิยมใช้งานความหนักระดับปานกลางขึ้นไป เพื่อใช้ในการลดแรงกระแทกและป้องกันความเสียหายของสินค้าด้วยคุณสมบัติของล้อยางที่มีความนุ่ม เช่นงานขนย้ายเซรามิก เครื่องจักรที่มีความบอบบางและน้ำหนักไม่มาก หรือผัก ผลไม้ที่มีช้ำได้ง่าย งานเข็นในโรงพยาบาล แต่หากต้องการใช้ล้อยางในงานหนักๆ สามารถเพิ่มเลือกขนาดวงล้อให้ใหญ่ขึ้นหรือใช้ร่วมกับวัสดุชนิดอื่นเพื่อเพิ่มความแข็งแรงมากยิ่งขึ้นเช่น ล้อยางหุ้มกระทะไนลอน ใช้ในงานที่สัมผัสสารเคมีและงานห้องเย็น หรือติดตั้งเครื่องจักรในโรงานอุตสาหกรรมทั่วไป, ล้อยางแป้นหมุน ล้อกระทะอลูมิเนียม ใช้สำหรับติดตั้งรถลากและงานอุตสาหกรรมหนักพิเศษ 2. ล้อไนล่อนเป็นวัสดุพลาสติกสีขาวที่มีคุณสมบัติแข็งแรง ไม่แตกหักง่าย กันน้ำได้ดี รับน้ำหนักได้มาก และไม่ทิ้งรอยล้อไว้บนพื้นผิว แต่จะมีเสียงดังเวลาเข็น บางรุ่นทนต่อความร้อน ความเย็นและสารเคมี และทนการสึกหรอได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับใช้ในงานกลางแจ้งหรือพื้นผิวขรุขระ เช่นพื้นผิวคอนกรีต หรือพื้นที่ที่มีน้ำขังได้ การใช้งานล้อไนล่อนเป็นล้อที่ใช้รับน้ำหนักได้ดีขณะหยุดนิ่ง จึงเหมาะในการติดตั้งเครื่องจักร หรือจะติดตั้งบนอุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุ รถเข็นอุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมยา หรือห้องเย็น 3. ล้อยูรีเทนล้อยูรีเทนเป็นล้อที่รวมคุณสมบัติที่ดีระหว่างล้อยางและล้อไนล่อนมารวมที่ล้อยูรีเทน คุณสมบัติของล้อยูรีเทนมีความเหนียว แข็งแรงและทนทาน ไม่ฉีกขาดหรือแตกหักง่าย รับแรงเสียดทานได้ดี ทนต่อรอยขีดข่วน ไม่มีเสียงดังเวลาเคลื่อนที่ ไม่มีรอยล้อที่พื้นสามารถใช้ได้ทั้งพื้นแห้งและชื้น แต่ไม่ควรทิ้งแช่น้ำไว้นานๆ เพราะอาจทำให้ล้อยูรีเทนเสื่อมคุณภาพได้ ใช้ได้ทั้งพื้นผิวขรุขระ และพื้นผิวเรียบ ตัวอย่างประเภทของล้อยูรีเทนที่นิยมในงานอุตสาหกรรม 3.1 ล้อยูรีเทน PUb ทำมาจากโพลียูรีเทน ตัวล้อมีสีดำ มีความแข็งแรง ยืดหยุ่น รับน้ำหนักได้มาก ราคาไม่แพงเท่าเกรดสีส้ม (PUo) ทนทานต่อสารเคมี และน้ำมันได้ดีมาก ไม่มีเสียงดังเวลาเคลื่อนที่ ทนต่อการสึกหรอได้ดี มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน 3.2 ล้อยูรีเทนไฮเทค PUo ตัวล้อมีสีส้ม มีความแข็งแรงและยืดหยุ่น ทนทานต่อแรงกระแทก สารเคมีและน้ำมัน การสึกหรอ รับน้ำหนักได้มาก ไม่เกิดรอยล้อบนพื้น ไม่มีเสียงดังเวลาเคลื่อนที่ มีความคล้ายคลึงกับล้อ PUb ที่ทำจากโพลียูรีเทน แต่มีคุณภาพที่ดีกว่าและมีราคาแพงกว่า มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน 3.3 ล้อยูรีเทนแกนเหล็ก PUt แกนกลางของล้อเป็นเหล็กช่วยเพิ่มความแข็งแรงและรับน้ำหนักได้มากขึ้น ทนทานต่อแรงกระแทก สารเคมี และน้ำมัน มีความยืดหยุ่น ไม่เกิดรอยล้อบนพื้น และไม่มีเสียงรบกวนเวลาเคลื่อนที่ มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน การใช้งาน เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมทุกชนิดโดยสามารถรับน้ำหนักที่มากๆ เป็นร้อยๆ กิโลกรัมของสินค้าหรืออุปกรณ์ได้ดี ส่วนใหญ่จึงใช้ติดตั้งเครื่องจักร อุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุ รถเข็นในงานอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ที่ต้องการรับน้ำหนักมากเป็นพิเศษ นอกเหนือจากที่ต้องเลือกใช้วัสดุที่ใช้กับล้ออุตสาหกรรมให้เหมาะสมกับประเภทการใช้งานแล้วผู้ใช้งานควรที่จะรู้ปริมาณของน้ำหนักที่ล้ออุตสาหกรรมสามารถรองรับได้โดยมีสูตรสากลที่ใช้ในการคำนวนหาความสามารถในการรับน้ำหนักของล้อรถเข็นที่จะทำให้รู้ว่าน้ำหนักที่รองรับได้ที่แท้จริงมีน้ำหนักกี่กิโลกรัมสูตรการคำนวนหาความสามารถในการรับน้ำหนักของล้อรถเข็น T = [ ( E + Z ) / n ] x ST คือ ความสามารถในการรับน้ำหนักของของล้อรถเข็น E คือ น้ำหนักของตัวรถเข็น Z คือ น้ำหนักสูงสุดโดยรวมของสิ่งของที่จะวางบนรถเข็นn คือ จำนวนลูกล้อที่ติดตั้งบนตัวรถเข็นS คือ safety factor (น้ำหนักบรรทุกที่ปลอดภัยในการใช้งาน จะอยู่ที่ 75% ของการรับน้ำหนักสูงสุด) การคำนวณหาความสามารถในการรับน้ำหนักของล้ออุตสาหกรรมและการเลือกใช้วัสดุที่ใช้สำหรับล้ออุตสาหกรรมเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ควรมองข้ามเนื่องจากวัสดุที่ใช้สำหรับล้ออุตสาหกรรมแต่ละชนิดก็มีความสามารถในการรับน้ำหนักที่แตกต่างกันหากเราใช้หลักการคำนวณมาช่วยจะทำให้รู้ค่าที่แท้จริงของน้ำหนักที่ล้ออุตสาหกรรมแต่ละชนิดรองรับได้ รวมไปถึงจำนวนที่แท้จริงของจำนวนล้ออุตสาหกรรมที่ต้องใช้เพื่อติดตั้งยานพาหนะเพื่อให้การใช้งานรถเข็นมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งค่าแรงงาน และค่าขนส่ง เพราะหากเลือกใช้วัสดุที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งไม่รู้น้ำหนักที่สามารถรองรับได้ที่แท้จริงอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อสินค้าและอุปกรณ์ในระหว่างการเคลื่อนย้ายหรือขนย้ายไก้ทำให้เกิดต้นทุนที่ไม่คาดคิดบางครั้งอาจเป็นอันตรายต่อพนักงานขนย้ายทำให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ JenStore by Jenbunjerd เป็นศูนย์รวมล้ออุตสาหกรรมมาตรฐานการส่งออก ภายใต้แบรนด์ SUPO เป็นล้อรถเข็นคุณภาพสูงที่นำเข้าจากต่างประเทศ มีหลากหลายวัสดุให้เลือกซื้อ เช่น ล้อยูรีเทน ล้อไนล่อน ล้อยาง และล้อพลาสติก เป็นต้น ลูกล้ออุตสาหกรรม SUPO ทั้งหมดใช้ระบบ Ball Bearing เป็นพื้นฐาน ช่วยให้ล้อมีประสิทธิภาพสูงในการออกตัวและผ่อนแรงในการเข็น เคลื่อนที่โดยไร้เสียงรบกวน ด้วยเสียงรบกวนต่ำสุดเพียง 25dBA พร้อมเพิ่มชุดซีลกันฝุ่นช่วยยืดอายุการใช้งาน ผลิตด้วยวัตถุดิบคุณภาพสูง ดีไซน์ทันสมัย ออกแบบมาตามหลักวิศวกรรมยานยนต์ จึงมั่นใจได้ในความแข็งแรงทนทาน และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน พร้อมรับประกันสินค้า 1 ปี ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้ที่ : Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstoreFacebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
หมวกนิรภัย ถุงมือกันไฟฟ้า รองเท้าเซฟตี้ อุปกรณ์ความปลอดภัยคู่กายช่างไฟฟ้า

หมวกนิรภัย ถุงมือกันไฟฟ้า รองเท้าเซฟตี้ อุปกรณ์ความปลอดภัยคู่กายช่างไฟฟ้าหมวกนิรภัย ถุงมือกันไฟฟ้า รองเท้าเซฟตี้ คู่แท้ความปลอดภัยช่วยป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้า การปฏิบัติงานในโรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้าง หรือธุรกิจที่ต้องมีการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ต้องมีความเกี่ยวข้องกับกระแสไฟฟ้าไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมเพราะกระแสไฟฟ้าคือพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนให้กระบวนการต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมาย หลายโรงงานอุตสาหกรรมหรือธุรกิจจึงต้องมีแผนกไฟฟ้าหรือช่างไฟฟ้าเพื่อดูแลและซ่อมแซมอุปกรณ์และเครื่องมือไฟฟ้าต่าง ๆ เพื่อให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้งานตลอดเวลาซึ่งช่างไฟฟ้าเมื่อต้องปฏิบัติงานต้องใส่อุปกรณ์ที่ใช้ป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ความปลอดภัยในการปฏิบัติงานทุกครั้ง เช่น หมวกนิรภัย ถุงมือกันไฟฟ้า และรองเท้าเซฟตี้ ความปลอดภัยในการทำงานที่มีความเกี่ยวข้องกับกระแสไฟฟ้าเป็นปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมากในการปฏิบัติงาน ตามหลักของ Safety first ของโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงต่อความปลอดภัย จึงต้องปฏิบัติตาม พรบ. ความปลอดภัยของอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อม พ.ศ. 2554 ที่ระบุไว้ว่า เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมหรือนายจ้างต้องรับผิดชอบในเรื่องความปลอดภัยด้านการปฏิบัติงาน โดยต้องจัดการอุปกรณ์ป้องกันภัย อุปกรณ์ความปลอดภัย ทุกประเภทให้ครบถ้วนและพอเพียงหากละเลยจะมีโทษทั้งทางแพ่งและทางอาญา ซึ่งหมวกนิรภัย ถุงมือกันไฟฟ้า และ อุปกรณ์ป้องกันเท้าหรือรองเท้าเซฟตี้ เป็นอุปกรณ์เซฟตี้ หรือ อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (PPE) ในการทำงาน ที่ทุกโรงงานอุตสาหกรรมต้องจัดเตรียมให้กับพนักงานเพื่อช่วยป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้ารั่วจากอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เครื่องจักร ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ หมวกนิรภัย ถุงกันไฟฟ้า รองเท้าเซฟตี้ อุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้า หมวกนิรภัย ศีรษะคือส่วนที่สำคัญสำหรับร่างกายเพราะเป็นศูนย์กลางของระบบประสาทที่ใช้ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆของร่างกายหมวกนิรภัยจึงมีความสำคัญเพื่อใช้ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้กับศีรษะ หมวกนิรภัยที่ได้รับมาตรฐานเปลือกหมวกควรต้องมีสีผิวเรียบเกลี้ยง ปราศจากเสี้ยน สันแหลมคม ไม่แตกและไม่ร้าว น้ำหนักไม่เกิน 440 กรัม (ไม่รวมอุปกรณ์) ต้องไม่ติดไฟแต่หากติดไฟต้องดับเองได้ภายใน 5 วินาที แรงส่งผ่านสูงสุดจากการทดสอบหมวกนิรภัยแต่ละใบต้องไม่เกิน 4450 นิวตันและแรงส่งผ่านต้องไม่เกิน 3780 นิวตัน และการเจาะต้องไม่ทะลุถึงศีรษะซึ่งหมวกนิรภัยที่สามารถลดอันตรายจากไฟฟ้ามีด้วยกัน 2 ชนิดหมวกนิรภัยชนิด Class E เป็นหมวกนิรภัยที่ใช้ลดอันตรายจากไฟฟ้าแรงสูงได้ซึ่งต้องผ่านการทดสอบความต้านทานแรงดันไฟฟ้า 20,000 โวลต์ ที่ความถี่ 50 Hz เป็นเวลา 3 นาที และความต้านทานแรงดันไฟฟ้าที่ 30,000 โวลต์ เพื่อทดสอบว่าไม่มีรอยไหม้ ซึ่งหมวกนิรภัยชนิด Class E ยังสามารถต้านทางแรงเจาะได้ที่ความลึกไม่เกิน 10 มม.หมวกนิรภัยชนิด Class G เป็นหมวกนิรภัยที่ใช้ลดอันตรายจากไฟฟ้าแรงดันต่ำได้ซึ่งต้องผ่านการทดสอบความต้านทานแรงดันไฟฟ้า 2,200 โวลต์ ที่ความถี่ 50 Hz เป็นเวลา 1 นาที และต้านทางแรงเจาะได้ที่ความลึกไม่เกิน 10 มม. ถุงมือกันไฟฟ้า ผลิตมาเพื่อกันกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกายจากการปฏิบัติงาน ถุงมือกันไฟฟ้าต้องมีความแข็งแรง มีความยืดหยุ่นและความทนทาน เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน โดยผลิตได้ทั้งจากยางพาราธรรมชาติ และยางสังเคราะห์ ถุงมือกันไฟฟ้าสามารถแบ่งได้ทั้งหมด 6 ประเภทตามระดับแรงดันไฟฟ้าClass 00 ระดับแรงดันไฟฟ้าสูงสุด = AC 500 โวลต์/ DC 750Class 0 ระดับแรงดันไฟฟ้าสูงสุด = AC 1,000 โวลต์/ DC 1,500Class 1 ระดับแรงดันไฟฟ้าสูงสุด = AC 7,500 โวลต์/ DC 11,250Class 2 ระดับแรงดันไฟฟ้าสูงสุด = AC 17,000 โวลต์/ DC 25,500Class 3 ระดับแรงดันไฟฟ้าสูงสุด = AC 23,500 โวลต์/ DC 39,750Class 4 ระดับแรงดันไฟฟ้าสูงสุด = AC 36,000 โวลต์ / DC 54,000ข้อคำนึงในการลือกใช้งานถุงมือกันไฟฟ้าผู้ใช้งานควรต้องทราบว่าระดับแรงดันไฟฟ้าในพื้นที่ที่ต้องไปปฏิบัติงานมีแรงดันไฟฟ้าระดับใด และเป็นไฟฟ้าประเภทใดซึ่งประเภทของเไฟฟ้ามีด้วยกัน 2 ประเภทคือ ไฟฟ้ากระแสตรง (DC) และ กระแสสลับ (AC) เพื่อจะได้เลือกใช้ถุงมือกันไฟฟ้าได้อย่างถูกต้อง ก่อนการใช้งานควรตรวจสอบถุงมือทุกครั้งเพื่อเช็คสภาพความพร้อมในการใช้งานของถุงมือกันไฟฟ้าเพราะอาจเสื่อมสภาพได้จากการเก็บไว้นานเกินไป เช่น มีรอยขาด รูรั่วหรือไม่ โดยสามารถตรวจสอบได้ด้วยตาเปล่า หรือเติมลมเข้าไปในถุงมือกันไฟฟ้าเพื่อให้พองตัวแล้วบีบลมออกเพื่อฟังเสียงลมที่รั่วออกมาจากถุงมือกันไฟฟ้าและควรใช้ถุงมือหนังสวมทับทุกครั้งในการใช้งานเพื่อป้องกันการฉีกขาดและยืดอายุการใช้งานของถุงมือกันไฟฟ้าที่อยู่ด้านใน รองเท้าเซฟตี้ รองเท้าเซฟตี้สำหรับงานไฟฟ้าเป็นรองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้าซึ่งวัสดุที่มักนำมาใช้ผลิตส่วนต่างๆของรองเท้าเซฟตี้กันไฟฟ้ามักทำจากยาง เช่น รองเท้าพื้นยางหุ้มข้อแบบมีส้น หรือรองเท้าพื้นยางหุ้มส้น เป็นต้น เพราะเป็นส่วนที่สามารถลดอันตรายจากกระแสไฟฟ้าเมื่อสัมผัสกับวัตถุที่กระแสไฟฟ้าสามารถไหลผ่านได้ เช่น เหงื่อหรือเท้าและฝ่าเท้าที่เปียกซึ่งเป็นสื่อนำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกายได้เป็นอย่างดี ซึ่งการเลือกขนาดของรองเท้าก็เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ ตามหลักเราทราบกันอยู่แล้วว่าควรต้องเลือกขนาดรองเท้าเซฟตี้ให้มีขนาดที่ใส่ได้พอดีกับเท้าแต่หากเลือกรองเท้าโดยความรีบหรือไม่พิจารณาอย่างดี เช่น การลองใส่และลองเดิน อาจทำให้ได้รองเท้าเซฟตี้ที่หลวมเกินไปและอาจหลุดได้ขณะปฏิบัติหน้าที่ แต่หากรองเท้าเซฟตี้มีขนาดคับเกินไปอาจทำให้รู้สึกอัดอัด เจ็บเท้า และทำให้เท้าอับชื้นได้ง่ายซึ่งไม่มีผลดีต่อร่างกาย และสิ่งที่ห้ามกระทำหากรองเท้าเซฟตี้ชำรุดห้ามซ่อมแซมรองเท้าโดยใช้ตะปูหรือลวดตรึงเพราะอุปกรณ์ดังกล่าวจะนำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกายได้รองเท้าเซฟตี้ตามมาตรฐาน ANSIZ41.1 หัวของรองเท้าต้องทนต่อการถูกกระแทก หรือแรงบีบได้และต้องป้องกันกระดูกเท้าส่วนบนซึ่่งสำหรับรองเท้าเซฟตี้กันไฟฟ้ามักใช้วัสดุคอมโพสิต (Composite Toe Cap) ซึ่งทำจากเทอร์โมพลาสติก คุณสมบัติมีน้ำหนักเบา หรือเรซิ่นที่มีความยืดหยุ่น ไม่บีบรัดหน้าเท้า มาทำเป็นหัวของรองเท้าเซฟตี้ซึ่งทั้ง 2 วัสดุที่ไม่มีโลหะผสม และไม่นำไฟฟ้า และรองเท้าเซฟตี้ตามมาตราฐานควรสามารถกระจายไฟฟ้าสถิตออกจากตัวผู้สวมใส่ได้ นอกเหนือจากนั้นต้องป้องกันไฟดูดและต้องเป็นตัวนำไฟฟ้าให้กระจายส่งสู่พื้นด้วย ที่สำคัญต้องมีความแข็งแรงและทนทานที่จะไม่ถูกเจาะทะลุได้ซึ่งเป็นมาตรฐานพื้นฐานของรองเท้าเซฟตี้ ซึ่งรองเท้าเซฟตี้มีทั้งที่เป็นแบบรองเท้าเซฟตี้หุ้มส้น รองเท้าเซฟตี้แบบแตะ และรองเท้าเซฟตี้แบบบูท มาตรฐานของอุปกรณ์ความปลอดภัย หมวกนิรภัย ถุงมือกันไฟฟ้า และรองเท้าเซฟตี้ เป็นข้อสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกใช้อุปกรณ์เซฟตี้ เพราะเป็นการการันตีถึงความปลอดภัยที่จะได้รับจากมาตรฐานการผลิตและวัสดุที่นำมาใช้ในการผลิตว่ามีคุณภาพพอที่จะสามารถลดอันตรายที่อาจเกิดในการปฏิบัติงานได้ซึ่งมาตรฐานของหมวกนิรภัย ถุงมือกันไฟฟ้า และรองเท้าเซฟตี้ ควรได้รับการรับรองจากหน่วยงานหรือองค์การที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เช่น หมวกนิภัยมาตรฐาน มอก.368-2554 หรือ ANSI/ISEA Z89.1-2009 ถุงมือกันไฟฟ้ามาตรฐาน EN60903:2003, CE0194, NFPA 70E และ ASTM F2413-11 รองเท้าเซฟตี้มาตรฐาน EN345 หรือ ANSIZ41.1 Jenstore by Jenbunjerd เป็นศูนย์รวมจำหน่ายเครื่องมือ อุปกรณ์เซฟตี้ อุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคล (PPE) หมวกนิรภัย ถุงมือกันไฟฟ้า แว่นตานิรภัย รองเท้าเซฟตี้ ชุดป้องกันสารเคมี หน้ากากกันสารเคมี หน้ากากอนามัย ที่ครอบหูกันเสียง เข็มขัดกันตก แผ่นยางกันลื่น ตู้เก็บสารเคมี ฯลฯ จากแบรนดชั้นนำ ได้รับการรับรองจากมารตรฐานสากล จึงมั่นใจได้ว่าสินค้าทุกชิ้นของ Jenstore by Jenbunjerd มีคุณภาพและความปลอดภัยพร้อมใช้งาน และมีสินค้าครบครันให้เลือกสรรได้ตามความต้องการ เจนสโตร์ พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลด้วยบริการหลังการขายที่คุณประทับใจ สนใจสินค้าติดต่อเรา ให้เราทำงานแทนคุณ : ฝ่ายขาย: 02-096-9999 (200 คู่สาย)Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103Email : [email protected] Official Account: @jenstoreFacebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
มาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานของโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องมี

มาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานของโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องมีถุงมือกันความร้อน รองเท้าเซฟตี้ มีดีทั้งป้องกันอันตรายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ความปลอดภัยจากการทำงานเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มการทำงานให้มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรมที่พนักงานและเครื่องจักรต้องทำงานร่วมกันในทุกกระบวนการซึ่งสามารถเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ตลอดเวลาและอาจส่งผลให้ทรัพย์สินเสียหาย หรือพนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่นั้นมีอันตรายต่อชีวิตได้หากไม่มีการป้องกันที่ดี ดังนั้นมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญมาก จุดประสงค์ก็เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ในขณะปฏิบัติงานโดยเฉพาะพื้นที่ปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยง เช่น มีสารเคมี มีเสียงดัง หรือมีกระแสไฟฟ้า ซึ่งในพื้นที่เสี่ยงดังกล่าวในมาตรฐานความปลอดภัยของโรงงานอุตสาหกรรมจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ความปลอดภัยสำหรับสวมใส่ในการปฏิบัติงานเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานมีความปลอดภัยในการทำงาน อุปกรณ์ที่เหล่าพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมมักจะสวมใส่เมื่อต้องปฏิบัติในพื้นที่ดังกล่าว เช่น หน้ากากกันสารเคมี, รองเท้าเซฟตี้, ที่อุดหู, ที่ครอบหูกันเสียง, หมวกนิรภัย หรือถุงมือกันความร้อน สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีก็เป็นหนึ่งในความปลอดภัยที่โรงงานอุตสาหกรรมควรให้ความสำคัญเพราะหากสภาพแวดล้อมในโรงงานอุตสาหกรรมไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของพนักงาน ซึ่งตามมาตรฐานความปลอดภัยของโรงงานอุตสาหกรรม ควรจะต้องมีการวางโครงสร้างของโรงงานอุตสาหกรรมให้ถูกต้องตามมาตรฐานและจัดเตรียมอุปกรณ์ในการทำงานเพื่อสร้างความปลอดภัยและเอื้ออำนวยต่อการทำงานให้กับผู้ปฏิบัติงาน เช่น หมวกนิรภัย ชุดป้องกันสารเคมี แว่นตานิรภัย ที่ครอบหูกันเสียง เป็นต้น ซึ่งเป็นอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (PPE) ในการทำงาน ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก 4 มาตรฐานความปลอดภัยของโรงงานอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบควรรู้! 1. มาตรฐานความร้อนภายในโรงงานอุตสาหกรรมควรติดตั้งพัดลมอุตสาหกรรมซึ่งมีทั้งแบบที่มีล้อสามารถเคลื่อนย้ายได้และดึงล้อออกได้เพื่อติดตั้งที่ผนังเพื่อช่วยระบายความร้อนของโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้ภายในโรงงานอุตสาหกรรมมีความร้อนสะสมจนส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายของพนักงานมีอุณหภูมิเกิน 38 องศาเซสเซียส ในกรณีที่ความร้อนภายในโรงงานอุตสาหกรรมมีอุณหภูมิสูงจนทำให้พนักงานมีอุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 38 องศาเซสเซียสผู้ประกอบการต้องให้พนักงานหยุดพักชั่วคราวเพื่อความปลอดภัยของพนักงานในโรงงาน รักษาสภาพร่างกายและ อุณหภูมิในร่างกายให้กลับคืนสู่สภาพปกติจึงจะสามารถกลับมาทำงานได้ และในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิความร้อนสูง หรือเป็นจุดต้นกำเนิดของความร้อนควรติดป้ายประกาศแจ้งเป็นจุดอันตรายมีความร้อนสูง หากพนักงานต้องเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่ดังกล่าวควรจัดเตรียมอุปกรณ์ความปลอดภัย ตัวอย่างเช่นถุงมือกันความร้อน ใช้ป้องกันความร้อนจากสภาพแวดล้อมหรือจากการสัมผัสวัสดุที่มีความร้อน เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีความร้อนหรือมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติได้ โดยวัสดุที่นำมาใช้ในการผลิตถุงมือกันความร้อนด้านนอกผลิตจากอะลูมิไนซ์เพื่อให้สะท้อนรังสีความร้อนและด้านในบุผ้าทนไฟเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกันความร้อนเพิ่มขึ้นรองเท้าเซฟตี้ ใช้ป้องกันเท้าจากอันตรายจากการทำงานหรือลดอากาศการบาดเจ็บในพื้นที่ที่มีความร้อนสูงรองเท้าเซฟตี้บางรุ่นสามารถป้องกันความร้อนได้สูงถึง 170 องศาเซสเซียส โดยส่วนใหญ่รองเท้าเซฟตี้จะผลิตจากหนังแท้เพราะสามารถทนทานต่อความร้อนได้ นอกเหนือจากป้องกันอันตรายจากความร้อนแล้วรองเท้าเซฟตี้ยังสามารถป้องการอันตรายจากสารเคมี อันตรายจากการเจาะทะลุของวัตถุ อันตรายจากอุปกรณ์และเครื่องมือหล่นใส่เท้าได้ด้วยเอี๊ยมป้องกันความร้อน เป็นชุดป้องกันความร้อนช่วงลำตัวของร่างกายผลิตจากอะลูมิไนซ์ช่วยสะท้อนรังสีความร้อนได้ดีเอี๊ยมป้องกันความร้อนเหมาะสำหรับงานที่ต้องเข้าใกล้ความร้อน เช่น อุตสาหกรรมเหล็กและงานหล่อหลอมเหล็ก เป็นต้น 2. มาตรฐานของแสงสว่างค่าความเข้มข้นของแสงสว่างเพื่อความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรมตามมาตรฐานจะแบ่งตามประเภทความละเอียดของการดำเนินงานค่าความเข้มข้นของแสงมากกว่า 20 Lux สำหรับพื้นที่บริเวณทางเดินภายนอกโรงงานอุตสาหกรรมรวมทั้งพื้นที่บริเวณถนนค่าความเข้มข้นของแสงมากกว่า 50 Lux สำหรับงานที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดสูงในการดำเนินงาน เช่น การขนย้าย การบรรจุ การจัดเก็บสินค้า รวมไปถึงบริเวณต่างๆของโรงงานอุตสาหกรรมเช่น คลังสินค้า บันไดภายในโรงงานอุตสาหกรรมค่าความเข้มข้นของแสงมากกว่า 100 Lux สำหรับงานที่ต้องใช้ความละเอียดเล็กน้อยในการดำเนินงาน เช่น การสีข้าว การผลิตและประกอบชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์อย่างง่ายค่าความเข้มข้นของแสงมากกว่า 200 Lux สำหรับงานที่ต้องใช้ความละเอียดปานกลางในการดำเนินงาน เช่น การเย็บเสื้อผ้า งานเย็บกระเป๋าหนังค่าความเข้มข้นของแสงมากกว่า 300 Lux สำหรับงานที่ต้องใช้ความละเอียดสูงในการดำเนินงาน ตัวอย่างเช่น การทดสอบและการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ การซ่อมแซมเครื่องจักร หรือการกลึงแต่งโลหะค่าความเข้มข้นของแสงมากกว่า 1,000 Luxสำหรับงานที่ต้องใช้ความละเอียดสูงมากเป็นพิเศษในการดำเนินงานเช่น การประกอบชิ้นส่วนที่มีขนาดเล็ก การเจียระไนเพชร พลอย 3. มาตรฐานของเสียงมาตรฐานความปลอดภัยของเสียงภายในโรงงานอุตสาหกรรมที่พนักงานควรจะได้รับมีค่าไม่เกิน 140 เดซิเบล ควรใส่ที่ครอบหูกันเสียงเพื่อป้องกันอันตรายจากเสียงหากทำงานในที่เดียงดัง และความดังเสียงในระหว่างการทำงานจะแบ่งตามจำนวนชั่วโมงการทำงาน โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือชั่วโมงในการทำงานไม่เกิน 7 ชั่วโมงต่อวัน ระดับความดังของเสียงที่ได้รับติดต่อกันต้องมีค่าไม่เกิน 91 เดซิเบลชั่วโมงในการทำงาน 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ระดับความดังของเสียงที่ได้รับติดต่อกันต้องมีค่าไม่เกิน 90 เดซิเบลชั่วโมงในการทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน ระดับความดังของเสียงที่ได้รับติดต่อกันต้องมีค่าไม่เกิน 80 เดซิเบล 4. มาตรฐานด้านสารเคมีและอนุภาคในโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องมีกระบวนการทำงานที่เกี่ยวข้อง กับสารเคมีก็ต้องมีมาตรฐานด้านสารเคมีและอนุภาคที่สามารถปนเปื้อนในอากาศได้ตามค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อความปลอดภัยในโรงงาน โดยมีการระบุปริมาณความเข้มข้นของสารเคมีตามสภาพแวดล้อมของการปฏิบัติ เช่น อากาศภายในโรงงานอุตสาหกรรม, ระยะเวลาในการทำงาน, บริเวณที่ปฏิบัติงาน และปริมาณความเข้มข้นของฝุ่นและแร่ที่มีการปนเปื้อนในอากาศ โดยปริมาณความเข้มข้นของสารเคมี ฝุ่นและแร่จะต้องมีความเข้มข้นไม่เกิดกว่าค่ามาตรฐานกำหนดและผู้ประกอบการก็ต้องจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการใช้ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีสารเคมี ฝุ่น แร่ หรืออนุภาคที่มีอันตราย เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพและร่างกายของพนักงานชุดป้องกันสารเคมี ใช้ป้องกันร่างกายของผู้ใช้งานไม่ให้สัมผัสกับสารเคมี ฝุ่น แร่ หรืออนุภาคที่มีอันตราย ซึ่งมีทั้งแบบใช้แล้วทิ้ง หรือแบบซักทำความสะอาดได้ มีลักษณะเหมือนชุดหมีพร้อมฮู้ด มียางรัดรอบศีรษะ เอว ข้อมือ และข้อเท้า เพิ่มความกระชับ และความคล่องตัว ด้านหน้าเป็นซิปรูดได้ 2 ทางพร้อมแผ่นปิดซิป หมวกคลุมศีรษะในบางรุ่นออกแบบสำหรับใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลประเภทต่าง ๆได้ ชุดป้องกันสารเคมีแบบใช้แล้วทิ้งส่วนใหญ่ทำมาจากเส้นใยโพลีโพรไพลีนมีความนุ่ม น้ำหนักเบา ระบายอากาศได้ดี และไม่มีส่วนประกอบที่ทำจากยางธรรมชาติ หรือซิลิโคน ส่วนชุดป้องกันสารเคมีที่สามารถซักทำความสะอาดได้จะผลิตจากโพลีเอสเตอร์ที่สามารถป้องกันไฟฟ้าสถิตมีน้ำหนักเบาและสวมใส่สบาย การป้องกันของชุดป้องกันสารเคมีมีทั้งป้องกันการกระเซ็นของสารเคมีเหลว, การซึมผ่านของฝุ่นและเส้นใย, การซึมผ่านของอนุภาคที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติแต่ละรุ่นของชุดป้องกันสารเคมีหน้ากากป้องกันสารเคมี ช่วยป้องกันอันตรายที่เกิดจากการสูดดมสารเคมี ฝุ่น แร่ และอนุภาคที่มีอันตรายเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ หน้ากากป้องกันสารเคมีจะมีทั้งแบบครอบเต็มหน้า ครึ่งหน้า แบบไส้กรองเดี่ยวหรือไส้กรองคู่ แบบใช้แล้วทิ้ง หรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ หน้ากากกันสารเคมีโดยส่วนใหญ่จะมีชิ้นส่วนผลิตจากเส้นใยประจุไฟฟ้าสถิตทำให้สามารถดักจับฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 0.3 ไมครอนได้ หน้ากากป้องกันสารเคมีที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ส่วนมากจะผลิตจากซิลิโคนเพราะสามารถแนบกระชับกับใบหน้าได้และให้ความรู้สึก นุ่ม มีน้ำหนักเบา หายใจสะดวกและสวมใส่สบาย บางรุ่นจะมีวาล์วระบาย อากาศ และรุ่นที่เป็นไส้กรองสามารถเปลี่ยนไส้กรองได้มาตรฐานความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรมทั้ง 4 ประเภทเป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่โรงงานอุตสาหกรรมจะต้องปฏิบัติตามเนื่องจากเป็นกฎระเบียบที่กฎหมายกำหนดเพื่อความปลอดภัยของพนักงานในการปฏิบัติงาน นอกจากนั้นในการจัดเตรียมอุปกรณ์ความปลอดภัยไม่ว่าจะเป็น ถุงมือกันความร้อน, รองเท้าเซฟตี้, เอี๊ยมป้องกันความร้อน, แว่นตานิรภัย, ที่อุดหู, ที่ครอบหูกันเสียง, หน้ากากป้องกันสารเคมี, ชุดป้องกันสารเคมีสำหรับพนักงานแล้ว ยังเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพในการทำงานให้ได้ผลผลิตที่ดีขึ้น และเป็นการลดต้นทุนในการผลิตเพราะลดความสูญเสียที่จะเกิดจากอันตรายในการปฏิบัติงานได้และสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจของคุณ Jenstore by Jenbunjerd เป็นศูนย์รวมจำหน่ายอุปกรณ์ความปลอดภัย (PPE) หมวกนิรภัย, รองเท้าเซฟตี้, ถุงมือกันร้อน, ชุดป้องกันสารเคมี, หน้ากากป้องกันสารเคมี, แว่นตานินภัย, เข็มขัดกันตกเชฟตี้, ที่ครอบหูกันเสียง, ที่อุดหู ฯลฯ หลากหลายแบรนด์ชั้นนำ และได้รับมาตรฐานในระดับสากล มีคุณภาพ และปลอดภัย เจนสโตร์พร้อมรับจัดหาสินค้าให้ตรงตามรูปแบบการใช้งานร พร้อมรับประกันคุณภาพของสินค้าและมีบริการหลังการขายที่รองรับต่อความต้องการของคุณ สนใจสินค้าติดต่อเรา ให้เราทำงานแทนคุณ : ฝ่ายขาย: 02-096-9999 (200 คู่สาย)Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103Email : [email protected] Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
×
สายด่วนสั่งซื้อสินค้า บริการจัดหาสินค้า สินค้าสั่งทํา 02 096 9999
บริการหลังการขาย 02 096 9898
ต่อ 3102-3103
ไลน์ @jenstore
เวลาทําการ 08.30 - 17.30 น.
Copy to Clipboard